รอยเตอร์สรายงานว่าราคาทองคำโลกเมื่อวานนี้ (พฤหัสที่ 16 ตค.) ตามเวลาท้องถิ่นพุ่งทะลุระดับ 4,300 ดอลล่าร์ (ราว 1.4 แสนบาท) ต่อออนซ์ไปอยู่ที่ 4,316.99 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ ทำสถิติสูงสุด 4 วันติดต่อกัน หลังจากนักลงทุนทั่วโลกแห่ซ์้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยต่างๆหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์และในแง่เศรษฐกิจ ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยหลักๆดังนี้ 1. สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ 2. การคาดการณ์ว่าแบงก์ชาติสหรัฐหรือเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ 3. ปัญหาการชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐซึ่งมีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคม 4. การอ่อนค่าของดอลล่าร์สหรัฐ
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ราคาทองคำโลกทะยานขึ้นไปแล้วมากกว่า 60% ขณะที่เซน วาวด้า นักวิเคราะห์ของมาร์เก็ตพัลส์ (MarketPulse) มองว่าแนวโน้มราคาทองคำในอนาคตขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเฟดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยปีหน้า (2569) ลงขนาดไหน รวมทั้งสถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน วาวด้ากล่าวว่าหากสองประเทศยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลง หรือความสัมพันธ์ดำดิ่งลง ก็อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ราคาทองคำพุ่งไปถึง 5,000 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ (ราว 1.6 แสนบาท) หรือสูงกว่านั้น
วาวด้ากล่าวว่าความวิตกของนักลงทุนในสัปดาห์นี้อยู่ที่การเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐกับจีน หลังสหรัฐขู่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 100% เพื่อตอบโต้มาตรการจำกัดการส่งออกแร่หายาก
นอกจากนี้นักลงทุนยังวิตกเรื่องเฟดเตรียมปรับลดดอกเบี้ย ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าเฟตน่าจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ภายในเดือนตุลาคมนี้ และอีก 0.25% ในเดือนธันวาคม ทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนกับทองคำซึ่งคาดว่าจะให้ผลตอบแทนมากกว่าท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยธนาคารที่ต่ำเตี้ย
ขณะที่ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐก็ยังยืดเยื้อ ท่ามกลางเสียงเตือนของกระทรวงคลังที่ชี้ว่าการชัตดาวน์จะทำให้สหรัฐประสบความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 1 หมื่น 5 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อสัปดาห์ (ราว 4 แสน 8 หมื่นพันล้านบาท)
ด้านเว็ปไซต์ Kitco News (คิทโก้ นิวส์) ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญหลายคนของเจพีมอร์แกน บริษัทการเงินชื่อดังระดับโลกเมื่อวันที่ 15 ตุลาคมถึงแนวโน้มราคาทองคำโลกในปีหน้า (2569) โดยเจมี่ ไดมอนกล่าวว่าเมื่อวิเคราะห์จากสถานการณ์โลกในขณะนี้ ราคาทองคำมีโอกาสที่จะพุ่งไปแตะระดับ 5,000 หรือไม่ก็อาจถึง 10,000 ดอลล่ารสหรัฐต่อออนซ์ (ราว 1.6 แสน-3.2 แสนบาท) ได้อย่างสบายๆ
ขณะที่นักวิเคราะห์อาวุโสอีกหลายคนชี้ว่าหากเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยเฉพาะในขณะนี้ที่คาดการณ์กันว่าเฟตอาจปรับอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ปลายปีนี้ และอีก 0.75% ในปีหน้า (2569) ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยให้ภาวะเงินเฟ้อลดลงแล้ว แต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงอีก โดยเกิดภาวะเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ พร้อมแนะนำให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงด้วยการหันไปลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกแทนการถือพันธบัตรหรือหุ้น ซึ่งสินทรัพย์ทางเลือกก็คือทองคำหรือสกุลเงินอื่นแทนดอลล่าร์ที่คาดว่าจะอ่อนลงอีก โดยนักวิเคราะห์ต่างมองว่าการลงทุนทองคำปีหน้ายังคงสดใส โดยราคามีแนวโน้มขึ้นต่อ
ทั้งนี้ผุ้เชี่ยวชาญของเจพีมอร์แกนประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐจะเพิ่มขึ้นจาก 2.8% ในเดือนกรกฎาคมไปอยู่ที่ 3.5% ในไตรมาส 4 ของปีนี้ (2568) และต่อเนื่องถึงปีหน้า (2569) ก่อนที่จะลดลงกลับมาอยู่ที่ระดับ 2.8% ในไตรมาส 4 ของปีหน้า (2569)