ที่ตลาดปลาสหกรณ์ประมงแม่กลอง ต.แหลมใหญ่ อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายนเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะผู้บริหารในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อติดตามความก้าวหน้า “โครงการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ” ผ่าน 7 มาตรการ ซึ่งปัจจุบันสามารถกำจัดได้แล้วกว่า 7.3 ล้านกิโลกรัม และ “โครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน” จำนวน 923 ลำ ตามที่ ค.ร.ม. เห็นชอบวงเงิน 1,622,605,300 บาท ซึ่งอยู่ระหว่างการจ่ายเงินชดเชยเยียวยาให้กับพี่น้องชาวประมง โดยมีนางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมประมง ชี้แจงรายละเอียดความคืบหน้าของทั้ง 2 โครงการ และมีนายชยชัย แสงอินทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสงคราม หัวหน้าส่วนราชการ เกษตรกร ชาวประมง และประชาชนในพื้นที่ ร่วมให้การต้อนรับ นายชยชัย กล่าวว่า ปัจจุบันปลาหมอคางดำระบาดอย่างรวดเร็ว จ.สมุทรสงคราม บูรณาการทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่องจัดปลาหมอคางดำ เช่น การลงแขกลงคลอง, การปล่อยปลากำจัดปลาหมอคางดำ และการฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ นอกจากนี้ จ.สมุทรสงครามมีเรือประมงเข้าร่วมโครงการจำนวน 14 ลำ ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ในการจัดการทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืน โดย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เยี่ยมชมนิทรรศการการดำเนินการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำ จากหน่วยงานรัฐ และ ประชาชนรวม 6 แห่ง ประกอบด้วย กองวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด, กองวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ, กองวิจัยและพัฒนาประมงทะเล, สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม, สำนักงานพัฒนาที่ดินสมุทรสงคราม และ กลุ่มสตรีอาสาพัฒนาบ้านบังปืน ที่ได้มีมาตราการแก้ไขปัญหาปลาหมอคางดำ รวมทั้งนำปลาหมอคางดำมาแปรรูปเป็นปลาร้า, ปลาส้ม, ปลาส้มป๊อป(เหมือนไก่ป็อป), นักเกตปลา(เหมือนนักเกตไก่), ปลาย่าง, ปลาป่น, ปลาป๊อบ ปัจจุบันมีกลุ่มผู้บริโภคเพิ่มขึ้น เป็นต้น
จากนั้น ร.อ.ธรรมนัส ได้มอบป้ายโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน ให้กับชาวประมงที่เข้าร่วมโครงการฯทั้ง 5 จังหวัด คือ สมุทรสงคราม, สมุทรสาคร, สมุทรปราการ, เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ก่อนจะ พบปะ รับฟังปัญหา และตอบข้อซักถาม เกษตรกรในพื้นที่ เดินทางกลับในเวลา ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ในอดีตชาวประมงเป็นเจ้าสมุทร สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยหลายแสนล้านบาท แต่มาเจอกฎหมายข้อบังคับระเบียบ เป็นอุปสรรคต่อการทำอาชีพประมง ตนรับปากภายใน 2 – 3 เดือน จะแก้กฏหมายกฎระเบียบที่เป็นปัญหาให้หมด ซึ่งตนก็ดำเนินการให้แล้วรวม 29 ฉบับ และกฎหมายใหญ่ที่กำลังดำเนินการ ซึ่งขับเคลื่อนมากับพี่น้องประชาชน และ สภาผู้แทนราษฎร ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า การนำเรือออกนอกระบบ ตนก็ร่วมกับชาวประมงที่ไม่สามารถทำประมงตามกฎระเบียบได้ ซึ่งเริ่มที่ จ.ปัตตานี จากนั้นตนก็ผลักดันงบกว่า 1,000 ล้าน จากรัฐบาล จนมาวันนี้สามารถช่วยเหลือพี่น้องชาวประมงได้ ส่วนปัญหาปลาหมอคางดำ ตนก็ร่วมต่อสู้มาตลอด และริเริ่มในการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ แม้ปัจจุบันจะจัดการไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็จะดำเนินการปราบปลาหมอคางดำอย่างต่อเนื่องต่อไป ซึ่งนอกจากจะนำมาแปรรูปแล้ว จะส่งเสริมการนำมาเป็นปุ๋ยสำหรับต้นไม้ โดยตนจะมอบนโยบายกรมส่งเสริมสหกรณ์ ให้ลดต้นทุนทางเกษตร โดยนำปลาหมอคางดำมาเป็นวัตถุดิบ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำต่อไป
อย่างไรก็ตามชาวสวนใน จ.สมุทรสงคราม ขอให้แก้ปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ซึ่ง ร.อ.ธรรมนัส รับว่าจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งหาตลาดเพิ่มเติม เพื่อยกระดับราคาให้เพิ่มสูงขึ้น
“รมว.ธรรมนัส” ลุย จ.สมุทรสงคราม ติดตาม 2 ภารกิจ มุ่งสร้างสมดุลทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืน
- เผยแพร่ : 13/10/2025 21:22

กดติดตาม TOP NEWS
นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมประมง กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินงานของกรมประมงทั้ง 2 โครงการ ว่า สำหรับโครงการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ กรมประมงได้เร่งเดินหน้าขับเคลื่อน “แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พ.ศ. 2567 – 2570” อย่างต่อเนื่อง ผ่าน 7 มาตรการสำคัญ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 จนถึงปัจจุบัน มีความคืบหน้าในแต่ละมาตรการอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
มาตรการที่ 1 การควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำทุกแห่งที่พบการแพร่ระบาด กรมประมงได้เร่งรัดการกำจัดปลาหมอคางดำอย่างเต็มรูปแบบผ่านกิจกรรมต่าง ๆ จนสามารถกำจัดปลาหมอคางดำออกจากแหล่งน้ำธรรมชาติ รวมถึงบ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกร รวมยอดสะสมเป็นจำนวน 7,325 ,234.50 กิโลกรัม ซึ่งจากที่พบการแพร่ระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติจำนวน 19 จังหวัด ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 17 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา นนทบุรี กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และสงขลา ส่วนจังหวัดที่ไม่พบการระบาดแล้ว 2 จังหวัด คือ ปราจีนบุรี และพัทลุง อีกทั้งในภาพรวมของสถานการณ์ในหลายพื้นที่เริ่มบรรเทาลง โดยพบความชุกชุมในระดับน้อยถึง 9 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา นนทบุรี กรุงเทพมหานคร สมุทรสงคราม นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี และสงขลา พบความชุกชุมในระดับปานกลาง 8 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี ระยอง ชลบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และนครศรีธรรมราช (ข้อมูล ณ วันที่ 29 กันยายน 2568)
มาตรการที่ 2 การกำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติ กรมได้สำรวจความชุกชุมการแพร่ระบาดเป็นประจำทุกเดือน รวมทั้งมีการสำรวจและศึกษาพันธุ์ปลาผู้ล่าให้มีความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ เพื่อปล่อยให้สอดคล้องกับระบบนิเวศเดิม สำหรับเป็นแหล่งอาหารและแหล่งสร้างรายได้ให้กับชุมชน โดยได้มีการปล่อยปลาผู้ล่ารวมแล้วกว่า 1,130,600 ตัว ประกอบด้วย ปลากะพงขาว ปลาอีกง ปลาช่อน ปลากราย ปลากดเหลือง และปลากินเนื้ออื่น ๆ
นอกจากนี้ กรมประมงยังได้ริเริ่ม โครงการ “สิบหยิบหนึ่ง” เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรนำปลาผู้ล่าไปปล่อยในบ่อเพาะเลี้ยง หลังจากนั้น 3 เดือน เมื่อปลาได้ขนาดโตเต็มศักยภาพ จะแบ่งปลาร้อยละ 10 เพื่อนำไปปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติ พร้อมสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการกำจัดอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
มาตรการที่ 3 การนำปลาหมอคางดำที่กำจัดออกจากระบบนิเวศไปใช้ประโยชน์ ได้ร่วมกับการยางแห่งประเทศไทย และกรมพัฒนาที่ดิน นำปลาหมอคางดำที่ถูกกำจัดไปผลิตน้ำหมักชีวภาพเพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางภายใต้โครงการแปลงใหญ่นำไปใช้เพิ่มธาตุอาหารและเพิ่มผลผลิตยางพารา ซึ่งมีปริมาณถึง 4,938,740.50 กิโลกรัม พร้อมส่งเสริมการบริโภคโดยการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะการผลิตเป็นปลาร้า รวมกว่า 385,425 กิโลกรัม นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนภาคเอกชนนำไปผลิตเป็นปลาป่นเพื่อใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ได้ปริมาณถึง 2,001,069 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ากว่า 34 ล้านบาท
มาตรการที่ 4 การสำรวจและเฝ้าระวังการแพร่กระจายของประชากรปลาหมอคางดำในพื้นที่กันชน ได้จัดทำระบบแจ้งเตือนตำแหน่ง สำหรับให้ประชาชนแจ้งพิกัดการพบปลาหมอคางดำได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยให้สามารถตรวจจับการบุกรุกและรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที พร้อมออกประกาศที่เกี่ยวข้องกับการห้ามเพาะเลี้ยง ห้ามเคลื่อนย้ายปลาหมอคางดำ โดยมีผลบังคับใช้แล้ว 7 ฉบับ
มาตรการที่ 5 สร้างความรู้ ความตระหนัก และการมีส่วนร่วมในการกำจัดปลาหมอคางดำ ได้มีการบูรณาการและสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น กรมราชทัณฑ์ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมจัดทำคลิปวีดิโอและคู่มือประชาสัมพันธ์การป้องกันและกำจัดปลาหมอคางดำ
มาตรการที่ 6 การพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม ขณะนี้กรมประมงกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาผลการทดลองเลี้ยงปลาหมอคางดำ 4n ในระบบเลียนแบบธรรมชาติ และหากได้ผลเป็นที่น่าพอใจจะกระจายการเพาะเลี้ยงไปยังศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุกรรมสัตว์น้ำของกรมประมงทั่วประเทศ เพื่อเร่งผลิตปลาหมอคางดำ 4n และปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติต่อไป
มาตรการที่ 7 การฟื้นฟูระบบนิเวศ แบ่งเป็นระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยาว โดยในระยะแรกนี้ กรมฯ ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลคุณภาพน้ำและองค์ประกอบความหลากหลายทางชีวภาพในแต่ละแหล่งน้ำ เพื่อวางแผนและดำเนินการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำที่มีความหลากหลายเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศต่อไป เช่น กุ้งกุลาดำ กุ้งแชบ๊วย ปลากะพงขาว ปลาอีกง ปลานวลจันทร์ทะเล หอยหวาน หอยตลับ หอยลาย และปูม้า เป็นต้น ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2568 มีแผนการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ จำนวน 78,815,000 ตัว โดยสามารถปล่อยได้แล้วจำนวน 75,705,980 ตัว คิดเป็น 96.6% ของแผนทั้งหมด
จากนั้น รองอธิบดีกรมประมง ได้กล่าวถึงความก้าวหน้าของโครงการนำเรือประมงออกนอกระบบเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงทะเลที่ยั่งยืน ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 สำหรับการชดเชยเรือประมงที่จะนำออกนอกระบบทั่วประเทศจำนวน 923 ลำ วงเงินรวม 1,622,605,300 บาท เพื่อบริหารกองเรือให้มีความสมดุลกับทรัพยากรประมงทะเล และเกิดความยั่งยืนในการใช้ประโยชน์จากสัตว์น้ำ โดยวิธีการลดจำนวนเรือประมงให้เหมาะสมกับปริมาณทรัพยากรประมงทะเลส่งผลให้ทรัพยากรประมงทะเลฟื้นคืนสู่ระดับที่สามารถให้ผลผลิตสูงสุดที่ยั่งยืน และ เปิดโอกาสให้ชาวประมงสามารถนำเรือประมงไปใช้ในกิจการอื่นนอกภาคประมงได้ ซึ่งมีเรือประมงที่ประสงค์จะออกนอกระบบ จำนวน 804 ลำ โดยไม่ประสงค์ออกนอกระบบจำนวน 119 ลำ และทำการเบิกจ่ายไปแล้วจำนวน 726 ลำ รวมจำนวน วงเงิน 1,004,956,850 บาท (ข้อมูล ณ วันที 9 ตุลาคม 2568) ทั้งนี้ จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาต่อไป
รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า การติดตามภารกิจกรมประมงของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาการประกอบอาชีพให้กับพี่น้องเกษตรกร ชาวประมง อย่างจริงจังเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำ เพื่อปกป้องและฟื้นฟูระบบนิเวศแหล่งน้ำของไทย และการบริหารกองเรือประมงให้มีความสมดุลกับศักยภาพของทรัพยากรทางทะเลเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนสืบไป
นพพร บุญทนาวงศ์ ผู้สื่อข่าวTOPNEWSทั่วไทย จ.สมุทรสงคราม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง