รอยเตอร์สและเอเจนซี่ส์รายงานว่าโฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนออกแถลงการณ์ในวันนี้ (อาทิตย์ที่ 12 ตค.) กล่าวหาสหรัฐว่า “สองมาตรฐาน” หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ออกมาประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ตค.) ขู่ว่าสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติมอีก 100% รวมทั้งจะจำกัดการส่งออก “ซอฟต์แวร์สำคัญ” โดยให้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 พฤศจิกายนเพื่อตอบโต้จีนที่เตรียมออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายากอย่างเข้มงวด
ทรัมป์ยังขู่จะยกเลิกการพบหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในที่ประชุมสุดยอดเอเปคที่เกาหลีใต้หลายเดือนตุลาคมนี้ด้วย อย่างไรก็ตามทรัมป์ได้บอกนักข่าวที่ทำเนียบขาวในภายหลังว่าเขายังไม่ได้ยกเลิกกำหนดการพบปะกับสี เพียงแต่ว่าจีนยังไม่มีการตอบรับหรือยืนยันกำหนดการพบปะระหว่างสองผู้นำ
ทั้งนี้โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนกล่าวว่าสหรัฐมักเอามาตรการทางเศรษฐกิจมาข่มขู่จีน ซึ่งการกระทำเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของจีนอย่างรุนแรง และยังทำลายบรรยากาศการเจรจาการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับสหรัฐอย่างยิ่ง และว่าการยกเอามาตรการภาษีมาข่มขู่ตลอดเวลาไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องในการทำเจรจากับจีน
ปัจจุบันสินค้าจีนเผชิญกับภาษีนำเข้าจากสหรัฐ สูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ภายใต้มาตรการภาษีตอบโต้ของทรัมป์ที่กล่าวหาจีนสนับสนุนการส่งเฟนทานิลเข้าสหรัฐ รวมทั้งข้อกล่าวหาเรื่องข้อปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังขู่ด้วยว่าสหรัฐอาจใช้มาตรการควบคุมการส่งออกชิ้นส่วนเครื่องบินโบอิ้งเพื่อตอบโต้การจำกัดการส่งออกแร่ธาตุหายากของจีน
ทั้งนี้ทรัมป์มักใช้การส่งออกชิ้นส่วนโบอิ้งมาเป็นเครื่องมือข่มขู่อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม 2568 โดยทรัมป์กล่าวว่าสหรัฐมีเครื่องมือหลายอย่างที่จะมาใช้ต่อรองกับจีน ซึ่งก็รวมถึงชิ้นส่วนโบอิ้งเนื่องจากจีนมีเครื่องบินโบอิ้งในฝูงบินเป็นจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องพึ่งพาชิ้นส่วนของโบอิ้ง ทั้งนี้บลูมเบิร์กรายงานเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่าบริษัทโบอิ้งอยู่ระหว่างการเจรจาขายเครื่องบินจำนวน 500 ลำให้กับจีนซึ่งเป็นการสั่งซื้อล็อตใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่ทรัมป์ขึ้นเป็นผู้นำสหรัฐสมัยที่สอง