รองอธิบดีอัยการฯ กางไทม์ไลน์ ไม่เกิน 2 สัปดาห์ ชงอสส.พิจารณาคดีคลิปอังเคิล “ฮุน เซน”
ข่าวที่น่าสนใจ
30 ก.ย.2568 นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน กล่าวถึงความคืบหน้าคดีคลิปเสียงสนทนา ระหว่าง นายฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา กับนางสาว แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า คดีนี้ อัยการสูงสุดได้มอบหมายให้ผู้บังคับการตำรวจไซเบอร์ เป็นหนึ่งในพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ โดยให้มีอัยการจากสำนักงานการสอบสวน เข้าร่วมการสอบสวน และได้มอบหมายให้ตนเองเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนในคดีนี้ ซึ่งการสอบสวน ได้สอบพยานไปหลายปาก ทั้งผู้กล่าวหา ตัวนางสาวแพทองธาร อดีตนายกรัฐมนตรี และพยานที่ยืนยันถึงการใช้เฟซบุ๊กของนายฮุน เซน
ส่วนการสนทนาจริงหรือไม่นั้น ต้องถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติ ว่ามีการสนทนาตามคลิปเสียงจริง ทั้งจากการสอบปากคำอดีตนายกรัฐมนตรี ประกอบกับศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าวไว้แล้วในคดีจริยธรรมของอดีตนายกรัฐมนตรี ว่า มีการสนทนากันด้วยข้อความตามที่ทราบกันจริง และคดีดังกล่าวเป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรี พ้นจากตำแหน่งฐานผิดจริยธรรมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
แต่ส่วนในคดีนี้เป็นคนละส่วนกับที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยไปแล้ว เนื่องจากเป็นการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานว่า การที่นายฮุน เซน เปิดเผยคลิปเสียงเป็นเหตุให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนคนไทย ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หรือไม่ โดยการสอบสวนดังกล่าว อันถือว่าเป็นความผิดนอกราชอาณาจักร ในคดีนี้จะสอบสวนให้เสร็จสิ้นภายในไม่เกิน 2 สัปดาห์ เพื่อนำกราบเรียนอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นผู้สั่งคดี ว่าจะฟ้องหรือไม่ อย่างไร เพราะคดีนอกราชฯ ถือว่าเป็นอำนาจของอัยการสูงสุดแต่ผู้เดียว
ส่วนคดีที่ฝ่ายกัมพูชาได้ยิงปืนใหญ่เข้ามาในประเทศไทย จนเป็นเหตุให้มีประชาชนเสียชีวติ และบาดเจ็บ รวมถึงทรัพย์สินเสียหายนั้น นายวัชรินทร์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีการประชุมของเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งทางฝ่ายความมั่นคง กับทางฝ่ายกฎหมาย อีกทั้งหลายหน่วยงานมีความเห็นว่า น่าจะมีการดำเนินคดีกับผู้นำกัมพูชา และนายฮุน เซน ในความผิดเกี่ยวกับการฆ่า การก่อการร้าย หรือการก่อให้เกิดภยันตรายต่อ ประชาชน และการทำให้เสียทรัพย์ เพราะมีความเสียหายเกิดขึ้น ทั้งผู้เสียหายที่เป็นประชาชน และหน่วยงานของรัฐ โดยมีการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุหลายท้องที่แล้ว
ซึ่งได้มีการหารือกับผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ในฐานะผู้รับผิดชอบในจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และบุรีรัมย์ เพื่อให้รวบรวมสำนวนการสอบสวน เสนออัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาความผิดดังกล่าว ว่าจะถือเป็นความผิดที่กระทำนอกราชอาณาจักร ส่งผลให้การกระทำเกิดในราชอาณาจักร หรือในประเทศไทยหรือไม่
สำหรับขั้นตอน คือ เมื่อพนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบปากคำทุกฝ่ายมาสำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ก็จะรวบรวมความเห็นเสนอกราบเรียนอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาในความผิดนอกราชอาณาจักร เพราะถ้าอัยการสูงสุดเห็นว่าเข้าหลักเกณฑ์ในความผิดนอกราชอาณาจักร ในคดีสำคัญแบบนี้จะมอบให้พนักงานสอบสวนทางฝ่ายตำรวจ เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ และจะมอบให้อัยการสำนักงานการสอบสวนเข้าร่วมสอบสวน กับฝ่ายตำรวจ ซึ่งทางอัยการสำนักงานการสอบสวน จะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาสอบสวนร่วมกับฝ่ายตำรวจ เมื่อสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะส่งให้อัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาสั่งคดีต่อไป
ส่วนคำถามที่ว่า เมื่อมีคำสั่งฟ้อง จะได้ตัวมาอย่างไรนั้น นายวัชรินทร์ กล่าวว่า จริงอยู่บางคนอาจจะได้รับเอกสิทธิ์ต่าง ๆ แต่ในขณะนี้ ต้องอยู่ที่การรวบรวมพยานหลักฐานก่อน ส่วนการติดตามตัวการ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตอนที่มีคำสั่งฟ้องคดีแล้ว อาจจะไม่มีเอกสิทธิ์ในขณะนั้น หรืออาจจะดำเนินการโดยวิธีช่องทางความร่วมมือระหว่างประเทศทางอาญา อันนั้นยังคงเป็นเรื่องในอนาคต แต่ในขณะนี้ทางหน่วยงานรัฐ และประชาชนได้รับความเสียหาย ทั้งชีวิต และทรัพย์สิน ก็จะต้องสอบสวนในคดีดังกล่าว เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ประชาชน และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งเป็นผู้เสียหาย เพราะขณะนี้ ยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการรวบรวมพยานหลักฐาน ระหว่างฝ่ายตำรวจ และฝ่ายอัยการ ซึ่งจะต้องร่วมมือกันสอบสวนต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข่าวล่าสุด
เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น