นายเพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ที่ 13 กันยายนที่ผ่านว่า ประเทศไทยประสบผลสำเร็จในการเจรจากับรัฐบาลจีนในการยกเว้นภาษีนำเข้ายางพาราธรรมชาติจากไทย ที่ขนส่งผ่านช่องทางแม่น้ำโขง เป็น 0% จากเดิมที่ต้องเสียภาษีนำเข้าประเทศจีนถึง 20% ถือเป็นการสร้างโอกาสให้ไทยสามารถขยายตลาดยางในจีนได้เพิ่มขึ้น และมีศักยภาพในการแข่งขันเท่าเทียมกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง รวมทั้งลาว เมียนมา และกัมพูชา ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเป็น 0% ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเป็นประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด (LDCs) ประกอบกับกลุ่มทุนประเทศจีนได้เข้าไปลงทุนในประเทศดังกล่าวโดยตรง ทั้งในด้านการปลูกยาง และตั้งโรงงานแปรรูป จึงได้รับสิทธิประโยชน์เหนือกว่ายางพาราไทย
ทั้งนี้ กยท.เตรียมนำร่องทดสอบส่งออกออกยางล็อตแรก เป็นยางก้อนถ้วย จำนวน 400 ตัน ซึ่งรวบรวมจากสถาบันที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. ส่งไปยังประเทศจีนผ่านช่องทางแม่น้ำโขง โดยจะมีอัตราภาษีนำเข้า 0% ในเดือนกันยายนนี้
ถือเป็นโอกาสในการศึกษากระบวนการดำเนินงานต่างๆ เช่น การขนถ่ายลงเรือ ขั้นตอนพิธีการศุลกากรทั้งฝั่งไทยและจีน เพื่อให้สามารถปรับปรุงแก้ไขจุดบกพร่องต่างๆ ก่อนที่จะดำเนินการส่งออกยางในเชิงพาณิชย์อีก 2,400 ตันในเดือนตุลาคม 2568 และจะเพิ่มปริมาณการส่งออกเป็นกว่าเดือนละ 10,000 ตัน ต่อไป
นายเพิกกล่าวต่อว่า ประเทศจีนเป็นตลาดส่งออกยางพาราที่ใหญ่ที่สุดของไทยประมาณปีละ 2-3 ล้านตัน จากกำลังการผลิตของไทยประมาณปีละ 5 ล้านตัน ดังนั้น เมื่อจีนลดภาษีนำเข้ายางจากไทยเหลือ 0% จะทำให้ไทยมีโอกาสขยายตลาดยางในประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันจีนมีความต้องการใช้ยางพาราปีละประมาณ 7 ล้านตัน โดยประเทศไทยยังครองส่วนแบ่งตลาดยางสูงสุดประมาณ 32% รองลงมาเป็นมาเลเซีย 13% ญี่ปุ่น 10% และอินโดนีเซีย 7% ตามลำดับ
นอกจากนี้ กระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันยังเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ไทยสามารถขยายตลาดยางได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการที่สหภาพยุโรปจะบังคับใช้กฎหมาย EU Deforestation-free Products Regulation(EUDR) (ดีฟอเรสเตชั่น-ฟรี โพรดักส์ เร็กกูเลชั่น) ซึ่งจะต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับสินค้าและผลิตภัณฑ์จากยางตั้งแต่แหล่งกำเนิดของวัตถุดิบได้ว่า มาจากสวนยางที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำ พื้นที่อนุรักษ์ และพื้นที่ป่า รวมทั้งจะต้องการจัดการสวนยางพาราที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยเป็นเพียงประเทศเดียวที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงที่มาของยางพาราได้ ดังนั้น หากจีนต้องการส่งออกยางรถยนต์และผลิตภัณฑ์ยางพาราไปสหภาพยุโรป หรือประเทศอื่นๆ ที่มีการบังคับใช้กฎระเบียบเช่นเดียวกับ EUDR จะทำให้จีนเพิ่มกำลังซื้อยางพาราจากไทยอย่างแน่นอน
ปัจจุบันประเทศจีน ได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งรวมโรงงานผลิตยางล้อรถยนต์อันดับ 1 ของโลก ซึ่งมีโรงงานยางล้อกว่า 300 แห่ง โดยมีบริษัทผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ยี่ห้อดังของโลกไม่น้อยว่า 26 บริษัท ได้เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในจีน มียอดการผลิตรวมไม่น้อยกว่า 500 ล้านเส้นต่อปี และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประมาณ 40% ของยางรถยนต์ที่ผลิตในจีนจะถูกส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป เป็นต้น นอกจากนี้ จีนยังส่งออกผลิตภัณฑ์ยางพาราอื่นๆด้วย เช่น สายพานยางและรองเท้าแตะ
รักษาการผู้ว่าการ กยท. ยังกล่าวด้วยว่า “การที่จีนปรับลดภาษีนำเข้ายางพาราจากประเทศไทยเหลือ 0% แม้ว่าช่วงเริ่มต้นจะเป็นการซื้อเฉพาะยางจากสหกรณ์การเกษตรก็ตาม แต่นับเป็นแนวโน้มที่ดีในอนาคต ที่จะทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขันทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน และมีความเป็นไปได้สูงที่จะขยายตลาดยางในประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกยางที่ใหญ่ที่สุดของไทยได้เพิ่มขึ้น สร้างเสถียรภาพด้านราคายางและความมั่นคงให้เกษตรกรชาวสวนยางได้อย่างแน่นอน” รักษาการผู้ว่าการ กยท.กล่าว