สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 แถลงข่าวผลการดำเนินงานในรอบปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 แถลงข่าวผลการดำเนินงานในรอบปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

วันที่ 11 กันยายน 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 จัดโครงการรณรงค์สร้างกระแสต่อต้านการทุจริต(สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4) ประจำปี พ.ศ. 2568 กิจกรรมการแถลงข่าวผลการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 ณ โรงแรมสยามแกรนด์อุดรธานี อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี

นายประภาศ คงเอียด กรรมการ ป.ป.ช. แถลงข่าวผลการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดในเขตพื้นที่ภาค 4 โดยกล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยมีวิสัยทัศน์ว่า เป็นองค์กรนำในการแก้ไขปัญหาการทุจริต อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และได้รับความเชื่อมั่น มีค่านิยมองค์กร คือ ซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ โปร่งใส ตรวจสอบได้เพื่อกระตุ้นเตือนให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ตระหนักในการปฏิบัติหน้าที่โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ที่เกี่ยวข้อง และเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดในเขตพื้นที่ภาค 4 จึงได้จัดแถลงข่าวผลการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 ขึ้น โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้

เรื่องที่ 1 กรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 ได้มีคำพิพากษานายสมพงศ์ อรุณโรจน์ปัญญา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ กับพวกรวม 47 ราย ดำเนินการจัดซื้อสารเคมียาปราบศัตรูพืช โดยการประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน

คดีสืบเนื่องจากมีบัตรสนเท่ห์ใช้ชื่อว่า “ข้าราชการรักจังหวัดบึงกาฬ” และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน โดยสำนักงานตรวจสอบพิเศษภาค 6 ได้ตรวจสอบกรณีการใช้งบประมาณเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีโรคระบาด(ข้าว) งบประมาณ 48,927,963 บาท พบว่า

 

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2554 และวันที่ 8 กรกฎาคม 2554 นายสมพงศ์ อรุณโรจน์ปัญญา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ ได้ประกาศให้พื้นที่ในจังหวัดบึงกาฬ ทั้งหมด 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอโซ่พิสัย อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอบุ่งคล้า อำเภอปากคาด อำเภอพรเจริญ อำเภอเมืองบึงกาฬ และอำเภอศรีวิไล เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินโรคระบาดข้าวและจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือในกรณีเร่งด่วน ซึ่งไม่เป็นไปตาม

ข้อเท็จจริงอันเป็นความเท็จและไม่ได้เกิดความเสียหายจนเกษตรกรต้องการความช่วยเหลือ ในส่วนของอำเภอพรเจริญ แม้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติแต่ไม่ได้มีการดำเนินการจัดซื้อสารป้องกันเชื้อรา (คาร์เบนดาซิมหรือแมนโคแซบ) การประกาศดังกล่าวไม่มีการตรวจสอบหรือสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่น ศูนย์วิจัยข้าวหนองคาย และศูนย์วิจัยข้าวหนองคายได้ให้ข้อมูลว่า ปี พ.ศ. 2553 และ 2554 พบว่าโรคไหม้ข้าวที่เกิดขึ้นในจังหวัดบึงกาฬ เป็นโรคที่เกิดขึ้นทุกปีแต่ไม่ถึงเป็นโรคระบาดรุนแรง หากเกิดโรคระบาดรุนแรงศูนย์วิจัยข้าวหนองคายต้องรายงาน

กรมการข้าวเพื่อป้องกันและประกาศเตือนภัยตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ และในกระบวนการจัดซื้อคณะกรรมการกำหนดราคากลาง ได้พิจารณาราคาตามที่ผู้ประกอบการได้นำเสนอ ซึ่งมีราคาสูงกว่าความเป็นจริงที่ขายตามท้องตลาดทั่วไป ในราคาเฉลี่ย 385 บาทต่อขนาดความจุ 1,000 ซีซี ทำให้ราชการได้รับความเสียหายเป็นเงิน 37,436,660 บาท

การทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างสารป้องกันเชื้อรา (คาร์เบนดาซิมหรือแมนโคแซบ) ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยโรคระบาดในข้าวในท้องที่จังหวัดบึงกาฬ จำนวน 7 อำเภอ เมื่อปี 2554 นายอำเภอ 7 อำเภอ ได้รายงานเหตุด่วนสาธารณภัยโรคระบาดข้าว สืบเนื่องมาจากนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการให้แต่ละอำเภอแจ้งภัยพิบัติ โรคเชื้อราในข้าว จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประกาศภัยพิบัติต่อเนื่องจากรายงานของอำเภอโดยไม่ได้มีการสำรวจตรวจสอบความเสียหายในพื้นที่นาของเกษตรกรโดยแท้จริง ซึ่งเกษตรอำเภอทั้ง 7 อำเภอ ไม่เห็นด้วยว่าเชื้อราในข้าวเป็นภัยพิบัติร้ายแรง แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬก็ยังประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติทั้งที่ไม่มีข้อมูลรอบด้านทางวิชาการและไม่ปรากฏหลักฐานและภาพถ่ายสภาพของความเสียหายแต่ละพื้นที่ว่าเกิดภัยพิบัติขึ้นจริงหรือไม่ การประชุม กชภอ. ในช่วงเวลาที่ต่อเนื่องกันมาแล้วมีมติขอรับความช่วยเหลือโดยระบุจำนวนเงินมาจากอำเภอจึงเป็นไปตามความประสงค์ของผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธาน กชภจ. จังหวัดบึงกาฬ ลงนามเห็นชอบราคากลาง โดยนายอำเภอ ทั้ง 7 อำเภอ ในฐานะประธาน กชภอ. ขอรับการจัดสรรงบประมาณ เชื่อว่าเป็นการคบคิดตกลงกันมาก่อนแล้วเพื่อให้ทั้ง 7 อำเภอ ซื้อสารเคมีในราคาขวดละ 1,712 บาทต่อ 1,000 ซีซี อันเป็นราคาที่สูงกว่าราคาที่จำหน่ายในท้องตลาดของท้องที่ในช่วงเวลาที่เกิดภัยพิบัติ จึงเป็นการตกลงและเตรียมการไว้ล่วงหน้า กับผู้รับจ้างผู้เสนอราคาขายสารเคมีดังกล่าว การเสนอราคาเป็นไปในทางไม่สุจริต มีการสมคบคิดร่วมกันกับคณะกรรมการกำหนดราคากลาง เพื่อให้ผู้เสนอราคาขายสารเคมีได้รับการพิจารณาให้เป็นคู่สัญญากับทั้ง 7 อำเภอ รับฟังได้ว่าคณะกรรมการกำหนดราคากลางได้พิจารณาราคาตามที่ผู้ประกอบการนอกพื้นที่นำเสนอราคาซึ่งสูงกว่าความเป็นจริงที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป ในราคาเฉลี่ย 385 บาท ต่อ 1,000 ซีซี ทำให้ราชการได้รับความเสียหายเป็นเงิน 37,436,660 บาท

 

นายอำเภอทั้ง 7 อำเภอ ในฐานะประธานคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยระดับอำเภอได้รับทราบว่าไม่ได้มีการสำรวจพื้นที่ความเสียหายตรงกับความเป็นจริงและระบุราคาสารเคมีคาร์เบนดาซิมราคา 856 บาทต่อ 500 ซีซี หรือ 1,712 บาท ต่อ 1,000 ซีซี โดยกำหนดราคาก่อนที่คณะกรรมการกำหนดราคากลางจะกำหนดราคา และก็ยังสูงกว่าความเป็นจริงที่ซื้อขายกันในท้องตลาดในช่วงเวลาที่เกิดภัยพิบัติ และมิได้มีการเสนอราคาและต่อรองกันจริง นายอำเภอทั้ง 7 อำเภอ ในฐานะผู้บังคับบัญชามีหน้าที่พิจารณาอนุมัติการจัดซื้อสารเคมีคาร์เบนดาซิมต้องไม่ดำเนินการตกลงซื้อและต้องยกเลิกการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอราคา แต่กลับอนุมัติและลงนามในสัญญาซื้อขายหรือเอกสารแทนสัญญาซื้อขายสารเคมี และได้เบิกจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่ผู้รับจ้าง พฤติการณ์จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ผู้เสนอราคาที่มีการเตรียมการไว้แล้วกับผู้ว่าราชการจังหวัด ให้เป็นผู้มีสิทธิ์ เข้าทำสัญญากับทั้ง 7 อำเภอ ทำให้การจัดซื้อสารเคมี ตามที่มีการเตรียมไว้แล้วสูงกว่าความเป็นจริงอันเป็นเจตนาหลีกเลี่ยงฝ่าฝืนระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546

พฤติการณ์จึงบ่งชี้ได้ว่านายอำเภอทั้ง 7 อำเภอ ได้รู้มาก่อนที่จะขออนุมัติวงเงินทดรองราชการแล้ว ว่าการจัดซื้อจัดจ้างมีการเตรียมการมาก่อนแล้ว โดยมุ่งหมายที่จะให้ดำเนินการจัดซื้อสารเคมีคาร์เบนดาซิม โดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบกฎหมาย โดยไม่มีการเจรจาต่อรองและตกลงราคากับผู้มีอาชีพขายสารเคมีดังกล่าวโดยตรง ในราคาที่ไม่สูงกว่าราคาท้องตลาดในช่วงเวลาที่เกิดภัยพิบัติขึ้น อันเป็นการฝ่าฝืนต่อระเบียบกระทรวงการคลังดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้ว่าราชการจังหวัด หากนายอำเภอทั้ง 7 อำเภอ ยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างตั้งแต่แรกที่ทราบว่าเป็นการดำเนินการที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ผู้รับจ้าง ผู้ขาย ก็จะไม่ได้เงินค่าสินค้าขายสารเคมี ราชการก็จะไม่ได้รับความเสียหาย แต่กลับรีบดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างกับผู้ขายดังกล่าวต่อเนื่องโดยไม่มีการยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายอันเป็นผลโดยตรงที่ทำให้ราชการได้รับความเสียหาย จึงเป็นการกระทำโดยมีมูลเหตุจูงใจแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายทำให้เกิดความเสียหายแก่กรมการปกครองและกระทรวงมหาดไทย

มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.

การกระทำของผู้ว่าราชการจังหวัดที่ประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินและการอนุมัติเงินทดรองราชการตามที่นายอำเภอทั้ง 7 อำเภอขอรับการช่วยเหลืองบประมาณจากจังหวัดบึงกาฬ จนกระทั่งทำสัญญาซื้อขายสารเคมี จึงเป็นการร่วมกันฝ่าฝืนระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 โดยมีห้างซึ่งเป็นผู้รับจ้าง เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติ ครั้งที่ 25/2566 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและชี้มูลความผิดทางวินัยหรือให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 ได้วินิจฉัยว่านายสมพงศ์ อรุณโรจน์ปัญญา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ กับพวก มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10, 11 และ 12 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และ 157 ตามหน้าที่และอำนาจของจำเลยแต่ละราย กรณีทุจริตการจัดซื้อสารป้องกันเชื้อรา (คาร์เบนดาซิมหรือแมนโคแซบ) ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยโรคระบาดในข้าวในท้องที่จังหวัด บึงกาฬ (โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน กรณีโรคระบาด (ข้าว) งบประมาณ 48,927,963 บาท)

 

ข่าวที่น่าสนใจ

เรื่องที่ 2 ศาลตัดสินจำคุก 72 ปี 6 เดือน อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกูลทุจริตอาหารนักเรียน ผู้สนับสนุนโดน 48 ปี 4 เดือน ความคืบหน้าคดีทุจริตที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด

โรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกูล ตำบลดอนสมบูรณ์ อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นโรงเรียนที่เปิดสอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางด้านสติปัญญาและพิการซ้ำซ้อน สังกัดสำนักบริหารงานศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนจัดการเรียนการสอนแบบสหศึกษาประจำและทั้งไปกลับ ทั้งระดับปฐมวัยและระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้รับการจัดสรรงบประมาณค่าจัดการเรียนการสอน ซึ่งแบ่งออกเป็น ค่าอาหาร ค่าเครื่องแต่งกาย เครื่องใช้ส่วนตัว ค่าวัสดุการศึกษา ค่าวัสดุเชื้อเพลิง และค่าสาธารณูปโภค จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ เดิมทีก่อนที่
นายสันติ ฤาไชย จำเลยที่ 1 จะเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกูล ในการจัดหาอาหารนักเรียน เป็นการจ้างเหมาทำอาหารโดยวิธีตกลงราคากับบุคคลภายนอกในการซื้อวัตถุดิบและประกอบอาหาร

โดยดําเนินการตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 แต่ต่อมาเมื่อ นายสันติ ฤาไชย เข้ามา ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกูล ได้สั่งการให้ปรับเปลี่ยนเป็นโรงเรียนเป็นผู้จัดซื้อวัตถุดิบ มาประกอบอาหารเองไม่จ้างเหมาบุคคลภายนอก

คำสั่งโรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกูล จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่ 050/2558 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2558 เรื่อง แต่งตั้งบุคลากรปฏิบัติหน้าที่ตามสายงานบริหารโรงเรียน มอบหมายให้นางชุติมา ภูขันสูง ครูชำนาญการ จำเลยที่ 2 หัวหน้างานโภชนาการ เป็นผู้จัดซื้อวัตถุดิบในการประกอบอาหาร และนางวราภรณ์ ดีจรัส จำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดทำบันทึกขอยืมเงินและสัญญายืมเงิน โดยเป็นการทําสัญญาการยืมเงินทดรองราชการพร้อมด้วยประมาณการค่าใช้จ่าย
ในการจัดซื้อวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารในแต่ละวันยื่นต่อเจ้าหน้าที่การเงิน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่การเงิน ตรวจสอบความถูกต้อง เสนอผู้อํานวยการโรงเรียนเพื่อพิจารณาอนุมัติเงินทดรองราชการให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเรื่องอาหารนักเรียนการจัดซื้อวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารแต่ละวัน เมื่อครบกําหนดตามสัญญาการยืมเงินต้องรวบรวมใบจัดซื้อวัตถุดิบหลักฐานการจ่ายทั้งหมดพร้อมด้วยเงินสดคงเหลือ (ถ้ามี) เพื่อส่งใช้เงินยืม ภายใน 30 วัน นับแต่วันรับเงิน

แต่ในทางปฏิบัติ จำเลยที่ 1 สั่งการให้ จำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดทำบันทึกและสัญญายืมเงิน เมื่อจำเลยที่ 2 ได้ลงนามเอกสารในฐานะผู้ยืมแล้ว จะนำเสนอ จำเลยที่ 1 และนายพันศักดิ์ วงศ์ตะวัน (เสียชีวิต) ตำแหน่งรองผู้อำนวยการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ พิจารณาอนุมัติ เมื่อได้รับอนุมัติให้ยืมเงินจำเลยที่ 3 จะนำเงินส่วนหนึ่งฝากเข้าบัญชีเงินเดือนจำเลยที่ 1 ชื่อบัญชี “นายสันติ ฤาไชย” จำนวนเงินที่ฝากเข้าบัญชีจำเลยที่ 1 แต่ละครั้งจะได้รับแจ้งจำนวนจากนายพันศักดิ์ วงศ์ตะวัน ก่อนมีการเบิกเงิน และส่วนที่เหลือได้ส่งมอบให้นายพันศักดิ์ วงศ์ตะวัน ตามคำสั่ง หลังจากนั้น นายพันศักดิ์ วงศ์ตะวัน จะนำเงินสดใส่ซองส่งคืนให้จำเลยที่ 3 เพื่อนำไปจ่ายให้อดีตผู้รับจ้าง ที่เป็นบุคคลภายนอก อันเป็นเงินจำนวนที่น้อยกว่าจำนวนเงินที่จำเลยทั้งสามได้รับมาจากการเบิกจ่ายด้วยการจัดทำเอกสารอันเป็นเท็จ และจำเลยที่ 1 ดำเนินการให้บุคคลภายนอก (ผู้รับจ้างรายเดิม) เป็นผู้จัดซื้อและออกเงินส่วนตัว ไปก่อน โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้เขียนกำหนดรายการและปริมาณวัตถุดิบ ทำเสมือนว่าอดีตผู้รับจ้างเป็นผู้ดำเนินการจัดหาวัตถุดิบมาใช้ประกอบอาหาร จากนั้นอดีตผู้รับจ้างจะนำใบจัดซื้อขอเบิกเงินจากฝ่ายการเงิน จำเลยที่ 3 และ

นายพันศักดิ์ วงศ์ตะวัน จะสั่งการด้วยวาจาให้ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่บัญชี (ลูกจ้าง) จัดทำหลักฐานใบจัดซื้อฯใหม่ทั้งฉบับ โดยมีรายการอาหารคงเดิม แต่จำนวนต่อหน่วย ราคาต่อหน่วย และราคารวมเพิ่มสูงขึ้น เพื่อให้จำนวนเงิน ที่เบิกจ่ายตรงกับจำนวนเงินที่ทำสัญญายืม คือวันละ 38,250 บาท และใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงินระบุว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้จ่ายเงินในการจัดซื้อเพื่อใช้เป็นเอกสารหลักฐานประกอบการส่งใช้เงินยืมอันเป็นการจัดทำเอกสารเท็จ ความจริงแล้วจำนวนเงินที่จัดซื้อวัตถุดิบมีราคาต่ำกว่าและเป็นการจ่ายเงินให้แก่อดีตผู้รับจ้าง ไม่ใช่จำเลยที่ 2 อดีตผู้รับจ้างจัดซื้อไปจริงเป็นจำนวน 101 ครั้ง รวม 29 สัญญายืมเงิน เป็นเหตุให้โรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกูล ได้รับความเสียหาย เป็นจำนวนเงิน 1,657,100 บาท จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำด้วยเจตนาปกปิดการจ่ายเงินค่าวัตถุดิบว่ามีจำนวนน้อยกว่าที่ระบุ เพื่อเบียดบังเอาเงินส่วนที่เหลือจ่ายและต้องส่งคืนชดใช้เงินยืมให้แก่โรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกูลเป็นประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นการกระทำโดยทุจริตและฝ่าฝืนกฎหมาย

ศาลพิพากษาให้ นายสันติ ฤาไชย จำเลยที่ 1 กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 29 กระทง เป็นจำคุก 145 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 58 ปี 174 เดือน กรณีมีความผิดกระทงหนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสินปี จึงให้ลงโทษจำคุก จำเลยที่ 1 มีกำหนด 50 ปี นางชุติมา ภูขันสูง จำเลยที่ 2 และนางวราภรณ์ ดีจรัส จำเลยที่ 3 กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 29 กระทง เป็นจำคุก 87 ปี 116 เดือน จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 29 ปี 232 เดือน

 

 

เรื่องที่ 3 ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด นายสุนทร พิมพาคำ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การ บริหารส่วนตำบลหนองอิเฒ่า อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ กับพวก ทุจริตการสอบแข่งขันเพื่อสรรหา และเลือกสรรพนักงานจ้างตามภารกิจ ตำแหน่งผู้ดูแลเด็ก (ทักษะ) เมื่อเดือนเมษายน 2563

จากกรณีกล่าวหา นายสุนทร พิมพาคำ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล หนองอิเฒ่า อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ กับพวก ทุจริตการสอบแข่งขันเพื่อสรรหาและเลือกสรรพนักงานจ้างตามภารกิจ ตำแหน่งผู้ดูแลเด็ก (ทักษะ) เมื่อเดือนเมษายน 2563 คดีหมายเลขดำที่ 44 – 1 – 157/2564 คดีหมายเลขแดงที่ 0704 – 1 – 50/2568 ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งที่ 55/2568 เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2568 ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้

การกระทำของนายสุนทร พิมพาคำ มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสารหรือดูแลรักษาเอกสาร กระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความ ลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตน อันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริง อันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ฐานปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ และใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 มาตรา 161 และมาตรา 162 (1) (4) ประกอบมาตรา 86 มาตรา 265 และมาตรา 268 ประกอบมาตรา 84 ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมูลความผิด ฐานกระทำการฝ่าฝืน ต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 92

การกระทำของนายพุตสมา ชำนาญพล มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสารหรือดูแลรักษาเอกสาร กระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสาร กระทำการรับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ฐานเป็นผู้สนับสนุนการปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ และฐานเป็นผู้สนับสนุนการใช้เอกสารปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 161 มาตรา 162 (1) (4) มาตรา 265 และมาตรา 268 ประกอบมาตรา 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใด ในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 และมูลความผิด ฐานกระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการ ไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 92

การกระทำของนางคมคิด ภูอาภรณ์ นางกานดา วิไลสิทธิ์ หรือสุภาวอ หรือกอร์ดัสชัวนี่ และนางสาวรัชนีย์ ภูขะมา มีมูลความผิดทางอาญา ในฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต การปลอมและใช้เอกสารราชการ รวมถึงการรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 161, 162, 265 และ 268 อีกทั้งยังเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ชอบ ปฏิบัติราชการโดยฝ่าฝืนกฎหมาย กฎ ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี หรือนโยบายของรัฐบาล จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ตลอดจน การประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามหลักเกณฑ์การสอบสวนและลงโทษทางวินัยของคณะกรรมการพนักงาน ส่วนตำบลจังหวัดกาฬสินธุ์ พ.ศ. 2558

 

การกระทำของนางสาวจุไรรัตน์ กุนอก และนางสาวดวงหทัย ฆารผุด มีมูลความผิดทางอาญา ในฐานะผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ทั้งในการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต การสนับสนุนการปลอมและใช้เอกสารราชการ รวมถึงการรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 161, 162 ประกอบมาตรา 86, 265 และ 268 อีกทั้งยังเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172

ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีกับนายสุนทร พิมพาคำ นายพุตสมา ชำนาญพล นางคมคิด ภูอาภรณ์ นางกานดา วิไลสิทธิ์ หรือสุภาวอ หรือกอร์ดัสชัวนี่ นางสาวรัชนีย์ ภูขะมา นางสาวจุไรรัตน์ กุนอก และนางสาวดวงหทัย ฆารผุด และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยกับ นางคมคิด ภูอาภรณ์ นางกานดา วิไลสิทธิ์ หรือสุภาวอ หรือกอร์ดัสชัวนี่ และนางสาวรัชนีย์ ภูขะมา และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนเพื่อให้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจกับ นายสุนทร พิมพาคำ และนายพุตสมา ชำนาญพล ตามฐานความผิดดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 91 (1) และ (2) มาตรา 98 และมาตรา 98 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 98 วรรคสี่ แล้วแต่กรณีต่อไป และให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งทราบ

 

 

 

 

เรื่องที่ 4 ป.ป.ช. ภาค 4 เฝ้าระวังงบประมาณมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569 โครงการบิ๊กอีเวนต์ 2,500 ล้านบาท

ประเทศไทยได้รับอนุมัติหลักการจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ให้เป็นเจ้าภาพยื่นประมูลสิทธิ์การจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก ณ จังหวัดอุดรธานี (ระดับ B) และจังหวัดนครราชสีมา (ระดับ A1) โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ต่อมาเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2565 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติกรอบงบประมาณ 2,500 ล้านบาทสำหรับโครงการของจังหวัดอุดรธานี และในวันที่ 8 มีนาคม 2565 สมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (AIPH) ได้รับรองให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569

การลงนามสัญญาเป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2566 ระหว่าง AIPH กับฝ่ายไทย งานมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน 2569 ถึง 14 มีนาคม 2570 ณ พื้นที่ชุ่มน้ำหนองแด ตำบลกุดสระ อำเภอเมืองอุดรธานี ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญในแนวคิด “ความหลากหลายแห่งสรรพชีวิต : สายสัมพันธ์แห่งผู้คน สายน้ำและพืชพรรณ สู่การดำรงชีวิตที่ยั่งยืน” (Diversity of Life, connecting people, water and plants for sustainable living)

ทั้งนี้ โครงการมหกรรมพืชสวนโลกมีงบประมาณรวม 2,500 ล้านบาท แบ่งความรับผิดชอบหลักออกเป็นหลายส่วน ได้แก่ การออกแบบ Master Plan และ Theme, การควบคุมงานก่อสร้าง, การจัดตกแต่งภูมิทัศน์ โครงสร้างพื้นฐานและอาคาร, การบริหารจัดการ ประชาสัมพันธ์และกิจกรรม รวมถึงค่าลิขสิทธิ์และการตรวจสอบจาก AIPH ในส่วนของการออกแบบ Master Plan และ Theme ซึ่งใช้งบประมาณ 68.12 ล้านบาท ประสบปัญหาความล่าช้าอย่างมาก โดยการจัดซื้อจัดจ้างครั้งแรกถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2566 เนื่องจากมีผู้ยื่นอุทธรณ์ แม้จะมีการดำเนินการใหม่และลงนามสัญญาเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2566 แต่ Master Plan ฉบับสมบูรณ์มีการส่งมอบให้กรมวิชาการเกษตรเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567 และมีการโอนลิขสิทธิ์เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ต่อมามีการปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและข้อเสนอแนะของ AIPH ที่ต้องการเร่งงานก่อสร้างและเน้นการปลูกต้นไม้ โดยลดงบประมาณงานก่อสร้างอาคารและภูมิทัศน์จากเดิม 1,811 ล้านบาท ลงเหลือ 1,011 ล้านบาท และนำส่วนต่าง 800 ล้านบาท ไปเพิ่มในส่วนของพืชพรรณ ต้นไม้ และการบำรุงรักษา

ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานว่าการปรับลดนี้ไม่ได้กระทบต่อพื้นที่ใช้สอย โครงสร้างและความแข็งแรงของอาคาร โครงการนี้ต้องเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคสำคัญ หลายประการ ประการแรกคือ ความล่าช้า ในการออกแบบผังแม่บท (Master Plan) ซึ่งใช้งบประมาณกว่า 55.7 ล้านบาท กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างครั้งแรก ถูกยกเลิกเนื่องจากมีผู้ยื่นอุทธรณ์ ทำให้ต้องดำเนินการใหม่และส่งผลให้ล่าช้า อีกทั้งยังมีประเด็นความสงสัย จากสื่อมวลชนและภาคประชาชนเกี่ยวกับกรณีการจัดจ้างออกแบบผังแม่บท โดยมีการแก้ไขเอกสารข้อกำหนด (TOR) ให้คุณสมบัติลดลงและเชิญบริษัทเข้าร่วมเสนอน้อยลง นอกจากนี้การดำเนินงานต้องเผชิญกับระยะเวลาที่กระชั้นชิด โดยมีเวลาเพียงประมาณ 1 ปีเศษในการก่อสร้างอาคารและภูมิทัศน์มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งการก่อสร้างอาคารและภูมิทัศน์มีกำหนดแล้วเสร็จเพียง 3 เดือนก่อนเปิดงานในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2569 ในส่วนของการปรับสภาพพื้นที่ซึ่งเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำยังประสบปัญหาดินไม่สมบูรณ์และดินเค็ม ความกังวลยังรวมถึงผลกระทบต่อปริมาณน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปาของหมู่บ้าน และความเสี่ยงต่อน้ำท่วมในพื้นที่ชุ่มน้ำ การมีคณะทำงานที่ซับซ้อนหลายชุดและการแบ่งอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบที่ไม่ชัดเจนระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นปัญหา

 

การเฝ้าระวังงบประมาณโดย สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 ได้เข้าติดตามความคืบหน้าโครงการและ เฝ้าระวังการใช้จ่ายงบประมาณตั้งแต่ต้น เนื่องจากเป็นโครงการที่มีงบประมาณสูงและได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนและประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ป.ป.ช. ได้เก็บข้อมูลและให้ข้อสังเกต ในเชิงป้องปรามหลังจากการจัดทำผังแม่บทแล้วเสร็จ โดยให้ความสำคัญกับการประเมินความเสี่ยงต่อการทุจริต เชิงนโยบายในโครงการขนาดใหญ่ โดยโครงการขนาดใหญ่คือโครงการที่ของบประมาณหรือได้รับจัดสรรงบลงทุนตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงในวงกว้าง การแก้ไขปัญหาการทุจริต ในโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างบูรณาการจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมถึงเจตจำนงทางการเมืองที่แข็งขันในการสร้างความโปร่งใส เพื่อให้โครงการมหกรรม พืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569 บรรลุวัตถุประสงค์และสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติอย่างแท้จริง

 

 

เรื่องที่ 5 ป.ป.ช. ผนึกกำลังหลายหน่วยงาน เร่งแก้ปัญหาบุกรุกเขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ เตรียมยกระดับเป็นมาตรการป้องกันการทุจริตระดับประเทศ

สืบเนื่องจากกรณีที่สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้รับแจ้งเบาะแสจากเครือข่ายภาคประชาชน ถึงกรณีการก่อสร้างแพรีสอร์ทและโรงแรมรุกล้ำพื้นที่ราชพัสดุและเขตห้ามล่าสัตว์ป่า พื้นที่ชลประทานเขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ส่งผลให้เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 เจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานได้เข้าบังคับใช้กฎหมายต่อผู้บุกรุกก่อสร้างบ้านพักและแพรีสอร์ทโดยไม่ได้รับอนุญาตในบริเวณหาดสวนแก้ว เขื่อนลำปาว จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าลำปาวสำนักงานสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามที่ 2 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 8 (ขอนแก่น) ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) และจากการตรวจสอบพื้นที่พบว่ามีการบุกรุกที่ดินของเขื่อนประมาณ 11 ไร่ มีการถมดินเพื่อสร้างบ้านพักประมาณ 2 ไร่ และมีแพรีสอร์ทอีก 10 หลัง แม้ในขณะที่เข้าตรวจสอบจะไม่พบตัวผู้กระทำความผิด แต่เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจยึดวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างทั้งหมดเพื่อส่งให้พนักงานสอบสวนในพื้นที่ดำเนินคดีต่อไป

 

ต่อมาในวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดกว่า 8 หน่วยงาน รวมถึงชมรม STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริตจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อรับทราบปัญหาและลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกัน การลงพื้นที่ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันและเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามระเบียบกฎหมาย อย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความโปร่งใสและป้องกันปัญหาการทุจริตที่อาจเกิดขึ้นในระดับพื้นที่ การผนึกกำลังของหลายภาคส่วนในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน

 

จากความร่วมมือดังกล่าว ได้นำไปสู่การยกระดับการแก้ไขปัญหาในเชิงนโยบาย โดยเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 ได้นำเสนอปัญหาการบุกรุกที่ชลประทาน กรณีศึกษาเขื่อนลำปาว เข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐ มีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประจำภาค 4 ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะดังกล่าว และจะนำไปสู่การจัดทำมาตรการและข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตตามหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายใต้มาตรา 32 แห่ง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติให้ยกเหตุอันควรสงสัยกรณีเจ้าหน้าที่รัฐอาจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งถือเป็นการขยายผลเพื่อตรวจสอบการทุจริตในเชิงลึกต่อไป

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เดินหน้า Smart City ดึงสายการบินอินโดฯ เปิดเส้นทางบินตรง
อบจ.สงขลา ลงพื้นที่ ให้บริการทันตกรรมเคลื่อนที่ในโรงเรียน
(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) จีนพัฒนา 'กาวติดกระดูก' แนวทางใหม่รักษากระดูกหัก
(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) ทุ่งหญ้าเลี้ยง 'แกะเจ๋อคู่' แหล่งขนสัตว์คุณภาพสูงในชิงไห่
(50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน) 'โคมไฟ-พลุ-โดรน' ประดับผืนฟ้า-ริมน้ำในกุ้ยหลิน
รองผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พิธีเจริญพระพุทธมนต์ เจริญจิตตภาวนา ถวายพระพรชัยมงคล

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​