วันที่ 11 กันยายน 2568 สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 จัดโครงการรณรงค์สร้างกระแสต่อต้านการทุจริต(สำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4) ประจำปี พ.ศ. 2568 กิจกรรมการแถลงข่าวผลการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 ณ โรงแรมสยามแกรนด์อุดรธานี อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี
นายประภาศ คงเอียด กรรมการ ป.ป.ช. แถลงข่าวผลการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดในเขตพื้นที่ภาค 4 โดยกล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ช. เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยมีวิสัยทัศน์ว่า เป็นองค์กรนำในการแก้ไขปัญหาการทุจริต อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และได้รับความเชื่อมั่น มีค่านิยมองค์กร คือ ซื่อสัตย์ เป็นธรรม มืออาชีพ โปร่งใส ตรวจสอบได้เพื่อกระตุ้นเตือนให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงาน ป.ป.ช. ได้ตระหนักในการปฏิบัติหน้าที่โดยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ที่เกี่ยวข้อง และเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 และสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดในเขตพื้นที่ภาค 4 จึงได้จัดแถลงข่าวผลการดำเนินงานของสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 ขึ้น โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้
เรื่องที่ 1 กรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 ได้มีคำพิพากษานายสมพงศ์ อรุณโรจน์ปัญญา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ กับพวกรวม 47 ราย ดำเนินการจัดซื้อสารเคมียาปราบศัตรูพืช โดยการประกาศภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน
คดีสืบเนื่องจากมีบัตรสนเท่ห์ใช้ชื่อว่า “ข้าราชการรักจังหวัดบึงกาฬ” และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน โดยสำนักงานตรวจสอบพิเศษภาค 6 ได้ตรวจสอบกรณีการใช้งบประมาณเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีโรคระบาด(ข้าว) งบประมาณ 48,927,963 บาท พบว่า
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2554 และวันที่ 8 กรกฎาคม 2554 นายสมพงศ์ อรุณโรจน์ปัญญา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ ได้ประกาศให้พื้นที่ในจังหวัดบึงกาฬ ทั้งหมด 8 อำเภอ ได้แก่ อำเภอโซ่พิสัย อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอบุ่งคล้า อำเภอปากคาด อำเภอพรเจริญ อำเภอเมืองบึงกาฬ และอำเภอศรีวิไล เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินโรคระบาดข้าวและจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือในกรณีเร่งด่วน ซึ่งไม่เป็นไปตาม
ข้อเท็จจริงอันเป็นความเท็จและไม่ได้เกิดความเสียหายจนเกษตรกรต้องการความช่วยเหลือ ในส่วนของอำเภอพรเจริญ แม้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติแต่ไม่ได้มีการดำเนินการจัดซื้อสารป้องกันเชื้อรา (คาร์เบนดาซิมหรือแมนโคแซบ) การประกาศดังกล่าวไม่มีการตรวจสอบหรือสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เช่น ศูนย์วิจัยข้าวหนองคาย และศูนย์วิจัยข้าวหนองคายได้ให้ข้อมูลว่า ปี พ.ศ. 2553 และ 2554 พบว่าโรคไหม้ข้าวที่เกิดขึ้นในจังหวัดบึงกาฬ เป็นโรคที่เกิดขึ้นทุกปีแต่ไม่ถึงเป็นโรคระบาดรุนแรง หากเกิดโรคระบาดรุนแรงศูนย์วิจัยข้าวหนองคายต้องรายงาน
กรมการข้าวเพื่อป้องกันและประกาศเตือนภัยตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ และในกระบวนการจัดซื้อคณะกรรมการกำหนดราคากลาง ได้พิจารณาราคาตามที่ผู้ประกอบการได้นำเสนอ ซึ่งมีราคาสูงกว่าความเป็นจริงที่ขายตามท้องตลาดทั่วไป ในราคาเฉลี่ย 385 บาทต่อขนาดความจุ 1,000 ซีซี ทำให้ราชการได้รับความเสียหายเป็นเงิน 37,436,660 บาท
การทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างสารป้องกันเชื้อรา (คาร์เบนดาซิมหรือแมนโคแซบ) ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยโรคระบาดในข้าวในท้องที่จังหวัดบึงกาฬ จำนวน 7 อำเภอ เมื่อปี 2554 นายอำเภอ 7 อำเภอ ได้รายงานเหตุด่วนสาธารณภัยโรคระบาดข้าว สืบเนื่องมาจากนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการให้แต่ละอำเภอแจ้งภัยพิบัติ โรคเชื้อราในข้าว จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประกาศภัยพิบัติต่อเนื่องจากรายงานของอำเภอโดยไม่ได้มีการสำรวจตรวจสอบความเสียหายในพื้นที่นาของเกษตรกรโดยแท้จริง ซึ่งเกษตรอำเภอทั้ง 7 อำเภอ ไม่เห็นด้วยว่าเชื้อราในข้าวเป็นภัยพิบัติร้ายแรง แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬก็ยังประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติทั้งที่ไม่มีข้อมูลรอบด้านทางวิชาการและไม่ปรากฏหลักฐานและภาพถ่ายสภาพของความเสียหายแต่ละพื้นที่ว่าเกิดภัยพิบัติขึ้นจริงหรือไม่ การประชุม กชภอ. ในช่วงเวลาที่ต่อเนื่องกันมาแล้วมีมติขอรับความช่วยเหลือโดยระบุจำนวนเงินมาจากอำเภอจึงเป็นไปตามความประสงค์ของผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธาน กชภจ. จังหวัดบึงกาฬ ลงนามเห็นชอบราคากลาง โดยนายอำเภอ ทั้ง 7 อำเภอ ในฐานะประธาน กชภอ. ขอรับการจัดสรรงบประมาณ เชื่อว่าเป็นการคบคิดตกลงกันมาก่อนแล้วเพื่อให้ทั้ง 7 อำเภอ ซื้อสารเคมีในราคาขวดละ 1,712 บาทต่อ 1,000 ซีซี อันเป็นราคาที่สูงกว่าราคาที่จำหน่ายในท้องตลาดของท้องที่ในช่วงเวลาที่เกิดภัยพิบัติ จึงเป็นการตกลงและเตรียมการไว้ล่วงหน้า กับผู้รับจ้างผู้เสนอราคาขายสารเคมีดังกล่าว การเสนอราคาเป็นไปในทางไม่สุจริต มีการสมคบคิดร่วมกันกับคณะกรรมการกำหนดราคากลาง เพื่อให้ผู้เสนอราคาขายสารเคมีได้รับการพิจารณาให้เป็นคู่สัญญากับทั้ง 7 อำเภอ รับฟังได้ว่าคณะกรรมการกำหนดราคากลางได้พิจารณาราคาตามที่ผู้ประกอบการนอกพื้นที่นำเสนอราคาซึ่งสูงกว่าความเป็นจริงที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป ในราคาเฉลี่ย 385 บาท ต่อ 1,000 ซีซี ทำให้ราชการได้รับความเสียหายเป็นเงิน 37,436,660 บาท
นายอำเภอทั้ง 7 อำเภอ ในฐานะประธานคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยระดับอำเภอได้รับทราบว่าไม่ได้มีการสำรวจพื้นที่ความเสียหายตรงกับความเป็นจริงและระบุราคาสารเคมีคาร์เบนดาซิมราคา 856 บาทต่อ 500 ซีซี หรือ 1,712 บาท ต่อ 1,000 ซีซี โดยกำหนดราคาก่อนที่คณะกรรมการกำหนดราคากลางจะกำหนดราคา และก็ยังสูงกว่าความเป็นจริงที่ซื้อขายกันในท้องตลาดในช่วงเวลาที่เกิดภัยพิบัติ และมิได้มีการเสนอราคาและต่อรองกันจริง นายอำเภอทั้ง 7 อำเภอ ในฐานะผู้บังคับบัญชามีหน้าที่พิจารณาอนุมัติการจัดซื้อสารเคมีคาร์เบนดาซิมต้องไม่ดำเนินการตกลงซื้อและต้องยกเลิกการดำเนินการเกี่ยวกับการเสนอราคา แต่กลับอนุมัติและลงนามในสัญญาซื้อขายหรือเอกสารแทนสัญญาซื้อขายสารเคมี และได้เบิกจ่ายเงินตามสัญญาให้แก่ผู้รับจ้าง พฤติการณ์จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ผู้เสนอราคาที่มีการเตรียมการไว้แล้วกับผู้ว่าราชการจังหวัด ให้เป็นผู้มีสิทธิ์ เข้าทำสัญญากับทั้ง 7 อำเภอ ทำให้การจัดซื้อสารเคมี ตามที่มีการเตรียมไว้แล้วสูงกว่าความเป็นจริงอันเป็นเจตนาหลีกเลี่ยงฝ่าฝืนระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546
พฤติการณ์จึงบ่งชี้ได้ว่านายอำเภอทั้ง 7 อำเภอ ได้รู้มาก่อนที่จะขออนุมัติวงเงินทดรองราชการแล้ว ว่าการจัดซื้อจัดจ้างมีการเตรียมการมาก่อนแล้ว โดยมุ่งหมายที่จะให้ดำเนินการจัดซื้อสารเคมีคาร์เบนดาซิม โดยไม่ปฏิบัติตามระเบียบกฎหมาย โดยไม่มีการเจรจาต่อรองและตกลงราคากับผู้มีอาชีพขายสารเคมีดังกล่าวโดยตรง ในราคาที่ไม่สูงกว่าราคาท้องตลาดในช่วงเวลาที่เกิดภัยพิบัติขึ้น อันเป็นการฝ่าฝืนต่อระเบียบกระทรวงการคลังดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้ว่าราชการจังหวัด หากนายอำเภอทั้ง 7 อำเภอ ยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างตั้งแต่แรกที่ทราบว่าเป็นการดำเนินการที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ผู้รับจ้าง ผู้ขาย ก็จะไม่ได้เงินค่าสินค้าขายสารเคมี ราชการก็จะไม่ได้รับความเสียหาย แต่กลับรีบดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างกับผู้ขายดังกล่าวต่อเนื่องโดยไม่มีการยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายอันเป็นผลโดยตรงที่ทำให้ราชการได้รับความเสียหาย จึงเป็นการกระทำโดยมีมูลเหตุจูงใจแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายทำให้เกิดความเสียหายแก่กรมการปกครองและกระทรวงมหาดไทย
มติคณะกรรมการ ป.ป.ช.
การกระทำของผู้ว่าราชการจังหวัดที่ประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินและการอนุมัติเงินทดรองราชการตามที่นายอำเภอทั้ง 7 อำเภอขอรับการช่วยเหลืองบประมาณจากจังหวัดบึงกาฬ จนกระทั่งทำสัญญาซื้อขายสารเคมี จึงเป็นการร่วมกันฝ่าฝืนระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 โดยมีห้างซึ่งเป็นผู้รับจ้าง เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติ ครั้งที่ 25/2566 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 มีมติชี้มูลความผิดทางอาญาและชี้มูลความผิดทางวินัยหรือให้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4
เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 ได้วินิจฉัยว่านายสมพงศ์ อรุณโรจน์ปัญญา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬ กับพวก มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10, 11 และ 12 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และ 157 ตามหน้าที่และอำนาจของจำเลยแต่ละราย กรณีทุจริตการจัดซื้อสารป้องกันเชื้อรา (คาร์เบนดาซิมหรือแมนโคแซบ) ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยโรคระบาดในข้าวในท้องที่จังหวัด บึงกาฬ (โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน กรณีโรคระบาด (ข้าว) งบประมาณ 48,927,963 บาท)