“บิ๊กโจ๊ก” ร้องปปช. เอาผิดตุลาการศาลปกครอง เอื้อประโยชน์ผบ.ตร. ออกคำสั่งให้ออกจากราชการมิชอบ

"บิ๊กโจ๊ก" ร้องปปช. เอาผิดตุลาการศาลปกครอง เอื้อประโยชน์ผบ.ตร. ออกคำสั่งให้ออกจากราชการมิชอบ

วันนี้ (11 ก.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) เข้ายื่นหนังสือกับประธานกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อกล่าวหา ตุลาการศาลปกครองสูงสุด 1 ราย ตามข้อกล่าวหา เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

โดย ข้อ 1.ผู้กล่าวหา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เดิมรับราชการตำรวจตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ต่อมา พล.ต.อ.กิตติรัฐ พันธุ์เพ็ชร์ มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เมษายน 2567 ให้ผู้กล่าวหาออกจากราชการไว้ก่อน

ข้อ 2.ผู้ถูกร้อง เป็นข้าราชการตุลาการศาลปกครอง

ข้อ 3. เมื่อระหว่างวันที่ 19 มิถุนายน 2568 จนถึงปัจจุบัน ขณะที่ผู้ถูกร้องซึ่งเป็นข้าราชการตุลาการศาลปกครองสูงสุด ได้ร่วมให้ความเห็นการพิจารณาคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 ระหว่าง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ฟ้องคดี กับ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับพวกรวม 3 คน ผู้ถูกฟ้องคดี ของศาลปกครองสูงสุดว่า มีพฤติการณ์การกระทำที่อาจเข้าข่ายเป็นความผิดต่อกฎหมาย โดยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้กล่าวหา หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต โดยมีเจตนาช่วยเหลือ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 เพื่อแสวงหาประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ทำให้ผู้กล่าวหาได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง เสียโอกาสความเจริญก้าวหน้าในชีวิตรับราชการตำรวจ

และ ข้อ 4. สืบเนื่องจากผู้กล่าวหาได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจากการที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เมษายน 2567 ให้ผู้กล่าวหาออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้รับเรื่องไว้พิจารณาตามคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิพากษาคดี

ในวันที่ผู้กล่าวหาได้แถลงด้วยวาจาเพื่อยืนยันหรือหักล้างข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายต่อองค์คณะที่ 9 ในวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 ได้รับทราบจากเจ้าหน้าที่ของศาลปกครองสูงสุดว่า หลังจากองค์คณะได้พิจารณาคดีแล้ว จะต้องส่งเรื่องไปยังประธานแผนกคดีละเมิดและความรับผิดอย่างอื่นในศาลปกครองสูงสุด เพื่อให้ความเห็นการพิจารณาพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567

 

 

 

โดยก่อนที่จะพิจารณาและมีความเห็นคดีนี้ ผู้ถูกร้องได้เข้ารับการศึกษาอบรมหลักสูตร “หลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย” (นธป.) รุ่นที่ 12 ที่มี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 เข้ารับการศึกษาอบรมรุ่นเดียวกัน โดยผู้เข้ารับการศึกษาอบรมมีจำนวนเพียง 52 คน ปรากฏตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการศึกษาอบรมหลักสูตร “หลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย” (สิ่งที่ส่งมาด้วย 1) และตารางการอบรมหลักสูตร “หลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตย” เข้ารับการศึกษาอบรมระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2567 (สิ่งที่ส่งมาด้วย 2) อันเป็นช่วงระยะเวลาที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ออกคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เมษายน 2567 ที่ให้ผู้กล่าวหาออกจากราชการไว้ก่อนและ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติขณะศึกษาอบรมหลักสูตรข้างต้น ย่อมส่งผลให้ผู้ถูกร้องและ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทั้งในห้วงระยะเวลาที่เข้าศึกษาอบรมและหลังสำเร็จการศึกษาอบรมแล้ว

การที่ผู้ถูกร้องซึ่งเป็นเพื่อนกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีส่วนเกี่ยวข้องในการให้ความเห็นการพิจารณาพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 ย่อมมีความโน้มเอียงที่จะมีความเห็นในทางคดีให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นและมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อันจะทำให้การพิจารณาและมีความเห็นในคดีดังกล่าวมีความไม่เป็นกลาง อันอาจทำให้การพิจารณาและมีความเห็นในคดีดังกล่าวเสียความยุติธรรมเช่นเดียวกับกรณีที่ผู้กล่าวหาได้เคยมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เมษายน 2568 ที่พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ออกคำสั่งให้ผู้กล่าวหาออกจากราชการไว้ก่อน

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ซึ่งขณะนั้นอยู่ในห้วงระยะเวลาการอบรมหลักสูตร นธป. รุ่นที่ 12 ผู้ถูกร้องมีเหตุที่อาจถูกคัดค้านได้ และมีเหตุประการอื่นอันเกี่ยวกับตัวตุลาการศาลปกครอง (คือตัวผู้ถูกร้องเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) อันอาจทำให้การพิจารณาและการมีความเห็นในคดีนั้นเสียความยุติธรรม ซึ่งเหตุที่จะถูกคัดค้านได้ปรากฏตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ว่าด้วยองค์คณะ การจ่ายสำนวน การโอนคดี การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการในคดีปกครอง การคัดค้านตุลาการศาลปกครอง การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานคดีปกครองและการมอบอำนาจให้ดำเนินคดีปกครองแทน พ.ศ.2544 ข้อ 14 วรรค 1 ทั้งเหตุแห่งการคัดค้านและเหตุอื่นใดอันมีสภาพร้ายแรง (เพราะพิจารณาและมีความเห็นในคดีที่เพื่อนร่วมรุ่นเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 11 มาตรา 12 และมาตรา 13 และการกระทำของผู้ถูกร้องเกี่ยวกับคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองยังเป็นการขัดจริยธรรมตุลาการศาลปกครอง ข้อ 6 ด้วย ซึ่งผู้ถูกร้องจะต้องถอนตัวจากการพิจารณาและมีความเห็นเกี่ยวกับคำขอให้ทุเลาบังคับตามคำสั่งทางปกครองข้างต้น แต่ผู้ถูกร้องไม่ได้ปฏิบัติตามข้อ 6 ของจริยธรรมศาลปกครอง แต่ได้ทำการพิจารณาและมีความเห็น

 

 

 

 

 

จนในที่สุดได้เสนอให้ที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ให้พิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับคำขอให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองข้างต้น การที่ผู้ถูกร้องไม่ถอนตัวจากการพิจารณาและยังมีความเห็นเกี่ยวกับคำขอให้ทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองให้เป็นประโยชน์ต่อ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของตนเอง นอกจากจะเป็นละเมิดหรือฝ่าฝืนจริยธรรมตุลาการศาลปกครองและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เข้าข่ายเป็นการกระทำผิดจริยธรรมตุลาการศาลปกครองข้อ 6 และกระทำผิดวินัยตามประกาศ ก.ศป.เรื่อง วินัยแห่งการเป็นข้าราชการตุลาการศาลปกครอง ข้อ 5 ข้อ 7 ข้อ 10 ข้อ 15 และ ข้อ 4 วรรคสอง

 

 

เนื่องจากตุลาการศาลปกครองต้องมีความซื่อสัตย์ เที่ยงธรรม ไม่เลือกปฏิบัติและวางตัวเป็นกลาง ถือว่ามีความบกพร่องอันมีสภาพร้ายแรง ซึ่งอาจทำให้การพิจารณาหรือพิพากษาคดีเสียความยุติธรรมไปแล้ว ยังเป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายกระทำผิดต่อกฎหมาย โดยผู้ถูกร้องต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ว่าด้วยองค์คณะฯ, ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งฯ และจริยธรรมตุลาการศาลปกครอง แต่ผู้ถูกร้องกลับไม่ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต มีการใช้อำนาจโดยมิชอบ มีเจตนาช่วยเหลือ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ผบ.ตร. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 เพื่อแสวงหาประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ทำให้ผู้กล่าวหาได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง เสียโอกาสความเจริญก้าวหน้าในชีวิตรับราชการตำรวจ เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้กล่าวหา หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ราชบุรี/// เปิดศึก เวทีมวยลุกเป็นไฟ ฮีโร่โอลิมปิก–มวยนานาชาติร่วมสร้างสีสัน หนูน้อยตัวตัวเล็กโชว์ลีลาพี่เลี้ยง
ไร้มนุษยธรรมสุดๆ "กองทัพบก" ประณามทหารเขมร ยิงจรวด BM-21 ใส่ชุมชนกันทรลักษณ์ ศรีสะเกษ ชาวบ้านวัย 63 โดนสะเก็ดระเบิดเสียชีวิต
สีสันการท่องเที่ยวฤดูหนาวอำเภอเทพสถิตคึกคัก เปิดแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ทุ่งดอกคอสมอสซับสะเลเต บนขุนเขาสูง
“วราวุธ” นำทีมอดีต สส.สุพรรณบุรี ไหว้อนุสาวรีย์บรรหาร เอาฤกษ์เอาชัย ก่อนไปสมัคร ภท. เพื่อโอกาสเป็นรัฐบาล ยันไม่ได้ทิ้งชาวสุพรรณฯ
นาวิกโยธินยึดคืนพื้นที่บ้านสามหลัง จ.ตราด ปักธงชาติไทยยืนยันอธิปไตยของไทยได้สำเร็จ
"เท้ง ณัฐพงษ์" ย้ำจุดยืนปชน.ยึดมั่นสันติภาพ เตือนกองทัพใช้กำลังทหาร ต้องไม่เกินเลย ห้ามถึงขั้นไปรุกรานกัมพูชา

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​