ส่วนทำไมพรรคประชาชนไม่ร่วมรัฐบาล จะได้สร้างผลงาน ย้ำว่า อยากให้ยุบสภา เมื่อถึงเวลา ถ้าเขาไม่ทำตามข้อตกลง พรรคประชาชนจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ด้วยรูปแบบรัฐบาลเสียงข้างน้อย พรรคจะมีอำนาจสอยเขาเมื่อไรก็ได้ให้ออกจากตำแหน่ง ด้วยการโหวตไม่ไว้วางใจ และการร่วมรัฐบาลคือการร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน ทำไมพรรคประชาชนต้องร่วมหัวจมท้ายกับเพื่อไทย-ภูมิใจไทย ย้ำว่าสิ่งเดียวที่ตั้งตารอคือ “การเลือกตั้งครั้งหน้า”

จากนั้น “ไอซ์ รักชนก” ได้โพสต์คลิปเพิ่มเติม ชี้แจงกรณี มีส่วนทำให้ นายสุชาติ ชมกลิ่น กลับมาเป็นรัฐมนตรี อีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เคยเดินหน้าตรวจสอบเอาผิดปมทุจริต จัดซื้อ อาคาร Skyy9 อย่างเอาจริงเอาจัง ใจความสำคัญบางช่วง ระบุว่า โดนล้อมา 3-4 วันแล้ว เรื่องยกมือโหวตให้คุณอนุทินเป็นนายกฯ แล้วนำมาซึ่งทำให้นายสุชาติไปเป็นรัฐมนตรี

“ดิฉันถามนะต่อให้ไม่ใช่คุณอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี วันนี้ต่อให้เป็นคุณชัยเกษมต่อให้เป็น คุณประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ เป็นนายกรัฐมนตรีคนนอ กคุณคิดว่าคนคนนี้จะได้เป็นรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่ เพราะไม่ว่าพรรคประชาชนจะตัดสินใจอย่างไร เราจะโหวตให้พรรคน้ำเงิน หรือ พรรคแดง หรือเราอยู่เฉยๆ สิ่งที่ดิฉันมั่นใจเสียเหลือเกิน ก็คือคุณสุชาติ ชมกลิ่น จะเป็นรัฐมนตรีซักกระทรวงอยู่ดี”

“ไอซ์ รักชนก” ยังอ้างด้วยว่า การโหวต นายอนทิน เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพรรคประชาชนตัดสินใจ “เพราะว่าคนที่มันตั้งหน้าตั้งตาจะเข้าหาอำนาจ จะเลือกแทงข้างผู้ชนะเสมออยู่แล้ว ดังนั้นปัจจัยนี้เป็นปัจจัยที่ตัวไอซ์หรือตัวพรรคประชาชนก็ไม่สามารถที่จะควบคุมได้จริงๆ

โดยเนื้อหาคำชี้แจงของ “ไอซ์ รักชนก” ชัดเจนว่าเป็นความพยายามแก้ตัว และ สื่อสารไปให้สมาชิกพรรค รวมถึงบุคคลที่นิยมพรรคประชาชน ให้เข้าใจว่า การเลือกพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำรัฐบาล แล้วได้ชื่อนายสุชาติ เป็นรัฐมนตรี ไม่เกี่ยวกับจุดยืนของพรรคประชาชน หรือ ตัวสส. แต่เป็นวิถีทางการเมือง ที่ต้องเกิดขึ้นปกติ

แต่ข้อเท็จจริงคำกล่าวอ้างนั้น กลับเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะช่วงการโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 พรรคประขาชน อยู่ในสถานะเป็นผู้ชี้ชะตาการเมืองไทย โดยกำหนดเงื่อนไข ให้พรรคเพื่อไทย และ ภูมิใจไทย นำไปพิจารณา. แต่ขณะนั้น “ไอซ์ รักชนก” และ พรรคประชาชน กลับไม่ได้พิจารณาถึงประเเด็นการทำหน้าที่ของสส.และพรรคการเมือง ที่อยู่ในสถานะเป็นแกนนำฝ่ายค้าน แม้แต่การกดดัน เรียกร้อง “พรรคภูมิใจไทย” พิจารณาคุณสมบัติของผู้ทำหน้าที่บริหารประเทศ เช่นกรณีของ “นายสุชาติ” ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน

และยอมปล่อยให้ขั้นตอนต่างๆ ผ่านพ้นไป แล้วออกมาชี้แจงแบบข้าง ๆ คู ๆ ว่า ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า ไม่ต่างกับกับการทำหน้าที่ตรวจสอบ “พรรคเพื่อไทย” ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพรรคประชาชน ไม่จริงจัง โดยเฉพาะปัญหาคลิปหลุด “แพทองธาร-ฮุนเซน” ที่พรรคภูมิใทย เตรียมการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ “แพทองธาร ชินวัตร” มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคงของราชอาณาจักรไทย

แต่วันที่ 30 มิ.ย. 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เลือกไม่ร่วมยื่นญัตติกับพรรคภูมิใจไทย โดยอ้างว่า “การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี ตนคิดว่ายังมีอีกหลายทางเลือก ที่เราจะสามารถใช้กลไกสภาในการตรวจสอบฝั่งรัฐบาล” ก่อนจะแก้ลำสถานการณ์ โดยการเรียกร้องให้ แพทองธาร ยุบสภาฯ ลาออกจากนายกรัฐมนตรี

สุดท้ายกลายเป็นบทบาทของภาคประชาชน ที่เดินหน้าในทุกเรื่องอย่างจริงจัง จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ และทำให้พรรคเพื่อไทยหลุดจากขั้วอำนาจการเมือง แล้วพรรคประชาชน มีโอกาสหันมาโหวตสนับสนุน พรรคภูมิใจไทย เป็นแกนนำรัฐบาล

และแม้ท้ายสุด “ไอซ์ รักชนก” จะพลิกคำ โดยการยืนยันว่า จะเดินหน้าตรวจสอบ การจัดซื้อ อาคาร Skyy9 แต่ก็มีคำถามว่า “ไอซ์ รักชนก” การทำหน้าที่ของสส.พรรคส้ม หรือ แม้แต่ตัว “ไอซ์ รักชนก” ที่ผ่านมา เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ชาติ หรือ เพียงเพื่อผลประโยชน์ของพรรค เท่านั้น ??