ตราด กองทัพเรือ นำคณะทูตทหารลงพื้นที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา ย้ำจุดยืนสันติภาพ หวังผลักดันแก้ปัญหาค้างคา

กองทัพเรือ นำคณะทูตทหารลงพื้นที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา ย้ำจุดยืนสันติภาพ หวังผลักดันแก้ปัญหาค้างคาเข้าที่ประชุมระดับสูงในการประชุมGBC ก.ย. 68 นี้

อ.คลองใหญ่ จ.ตราด/ เวลา 11.50 น.วันที่ 2 กันยายน 2568 คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observerver Team: IOT) ประกอบไปด้วย:
ผู้ช่วยทูตทหาร จาก 8 ประเทศสมาชิกอาเซียนได้แก่ บรูไน, มาเลเซีย, ลาว, อินโดนิเซีย, เมียนมา,ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และเวียดนาม รวม 14 นาย โดยมีหัวหน้าคณะคือ พล.ต. ซัมซุล ริซัล บิน มูซา ผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซียประจำประเทศไทยและพล.ต.กรรณ บุญชัย รอง จก.ขว.ทหาร (หน.คณะฝ่ายไทย),พล.อ.ต.ศราวุธ เมาลานนท์ ผอ.สวส.ขว.ทหาร พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ รองโฆษก กองทัพเรือ น.อ.ชิตพล ก่อกิจสัมมากุล รอง ผอ.สวส.ขว.ทหาร,พ.อ.นิโรธ ทองม่วง ผอ.กทท.สวส.ขว.ทหาร ,พ.อ.ยุทธพล สุจริต แม่กองสนามสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ร่วมกับกองบัญชาการกองทัพไทย นำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) และผู้ช่วยทูตทหารจาก 6-7 ประเทศ ลงพื้นที่สำรวจสถานการณ์จริงบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและตราด เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ พร้อมย้ำเจตนารมณ์ของฝ่ายไทยที่มุ่งสร้างสันติภาพและความสงบสุขเป็นหลัก ขณะที่ปัญหาเรื่องเขื่อนกันคลื่นและเขตแดนยังคงเป็นประเด็นที่ต้องเจรจาในระดับสูงต่อไป ท่ามกลางการเฝ้าสังเกตการณ์การของเจ้าหน้าที่กัมพูชา ในบริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านจามเยี่ยม อ.มณฑลเสมา จ.เกาะกง ประเทศกัมพูชา พร้อมบันทึกภาพการลงพืเนที่ครั้งนี้ของฝ่ายไทยและคณะฑูตด้วยความสนใจ

 

โดยคณะทั้งหมดได้ตรวจสอบหลักเขตที่ 73 และมีเจ้าหน้าที่ทหารกองทัพบกของไทยอธิบายถึงบริเวณหลักเขตที่ตั้งระหว่างไทยกับกัมพูชา และได้ชี้ให้เห็นถึงตัวอักษาที่บันทึกไว้ในหลักเขตด้วย รวมทั้งเขื่อนดินในฝั่งกัมพูชาที่ยื่นออกไป ซึ่ลใช้เวลาประมาณ 30 นาที แล้วเดินทางกลับมาที่หน่วยควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 3 (เขาล้าน)เพื่อร่วมรับประทานอาหารและบรรยายสรุปในเรื่องสถานการณ์ชายแดนในพื้นที่จังหวัดตราด

พลเรือตรีปารัช เปิดเผยว่า การนำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวประจำประเทศไทย ทีทมีผู้ช่วยทูตทหารมาเลเซีย และคณะผู้ช่วยทูตทหารจากอีกหลายประเทศลงพื้นที่ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คณะฯ ได้เห็นภาพรวมและรับทราบข้อมูลพื้นฐานของสถานการณ์ชายแดนในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีและตราดอย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้าใจต่อท่าทีของฝ่ายไทยที่ต้องการให้เกิดสันติภาพและความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดนเป็นสำคัญความคืบหน้าการเจรจาและความร่วมมือ

ข่าวที่น่าสนใจ

“สำหรับการเจรจาผ่าน ที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ครั้งล่าสุด ถือว่ามีความคืบหน้าไปตามลำดับ โดยฝ่ายไทยยินดีที่ได้รับการตอบสนองที่ดีจากฝ่ายกัมพูชาในหลายประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเก็บกู้ทุ่นระเบิด: มีการตอบรับที่จะร่วมมือกันในเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Scammer): ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะยกระดับความร่วมมือในการแก้ไขปัญหานี้ และจะนำเสนอเข้าสู่ การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่พยายามสื่อสารให้คณะผู้สังเกตการณ์ฯ เข้าใจมากที่สุดคือความตั้งใจจริงของฝ่ายไทย และหวังว่าท่านคณะทูตทหารจะสามารถสื่อสารเรื่องนี้กลับไปยังหน่วยเหนือ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความร่วมมือและนำไปสู่สันติภาพของทั้งสองฝ่ายต่อไป”พลเรือตรีปารัชกล่าว

พลเรือตรีปารัช กล่าวว่า ในส่วนประเด็นปัญหาเขตแดนไทยและหลักเขตที่ 73 ว่าอยู่ถูกต้องหรือไม่นั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องใช้เวลาในการเจรจา จะถูกหารือผ่านกลไกของ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ ฝ่ายไทยได้เน้นย้ำถึงจุดยืนบริเวณ หลักเขตที่ 73 โดยชี้แจงว่า หลักเขตดังกล่าวมีมานานแล้ว และฝ่ายไทยขอยืนยันในเขตอธิปไตยของไทยที่ได้แสดงให้เห็นถึงแนวเส้นปฏิบัติการทางทะเลที่ลากจากหลักเขตที่ 73 ซึ่งปรากฏอยู่ใน บันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน พ.ศ. 2544 (MOU 2544) ซึ่งกองทัพเรือยังคงยึดถือเป็นแนวปฏิบัติการในพื้นที่มาโดยตลอด

 

ส่วนเขื่อนกันคลื่นที่กัมพูชาสร้างไว้นั้นยังไม่ถูกรื้อถอน เนื่องจากที่ฝ่ายกัมพูชาสร้างขึ้นและยังอยู่บริเวณชายแดน และเป็นเรื่องที่กองทัพเรือติดตามอย่างใกล้ชิด โดยกองทัพเรือได้ดำเนินการประท้วงตั้งแต่เริ่มมีการก่อสร้าง ซึ่งฝ่ายกัมพูชาก็ให้ความร่วมมือโดยการยุติการก่อสร้างไปหลังมีการประท้วง
อย่างไรก็ตาม ตัวเขื่อนยังไม่ถูกรื้อถอน และได้ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในพื้นที่ ทั้งนี้ แม้ว่ากองทัพเรือและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะได้เข้าแก้ไขปัญหาผลกระทบเบื้องต้นแล้ว แต่เป้าหมายสูงสุดคือต้องการให้มีการรื้อถอนและฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับสู่สภาพเดิม ซึ่งจะต้องเป็นประเด็นในการเจรจาต่อไป

รองโฆษกกองทัพเรือ กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ของพื้นที่จังหวัดตราดและจันทบุรีเมื่อไม่มีการสู้รบจะมีการผ่อนคลายมาตรการหรือไม่นั้น มีแนวโน้มการผ่อนปรนมาตรการในพื้นที่ว่า ที่จะมีการเปิดจุดผ่านแดนถาวรหรือจุดผ่อนปรนทางการค้าต่างๆ ในอนาคต หากสถานการณ์ในพื้นที่มีความมั่นคงและสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงต่างๆ ได้อย่างมั่นใจ

ส่วนประเด็นสถานการณ์การเมืองภายในประเทศนั้น พลเรือตรีระบุว่า “ฝ่ายทหาร ไม่ว่าจะเป็นกองทัพบกหรือกองทัพเรือ เราพยายามทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ไม่ว่าใครจะมาบริหารประเทศ กองทัพก็พร้อมให้ความร่วมมือ โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน เพื่อให้ประชาชนทั้งสองฝั่งสามารถอยู่ร่วมกันและทำการค้าขายได้อย่างสงบสุข”

ภาพ/ข่าว จักรกฤชณ์ แววคล้ายหงษ์ ญาณี แววคล้ายหงษ์ ผู้สื่อข่าว TOPNEWS ทั่วไทย จ.ตราด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เบลเยี่ยมจ่อรับรองรัฐปาเลสไตน์ในที่ประชุมยูเอ็น
กอ.รมน.ภาค 4 แถลงผลการบังคับใช้กฎหมายด้านความมั่นคงในพื้นที่ 3 จว.ชายแดนภาคใต้
"ภูมิธรรม" เผย "ปชน." แจ้งเองยังไม่มีมติหนุน "อนุทิน" ยันไม่คิดแผนยุบสภาฯแก้เกมภท.
มรภ.สุรินทร์ ผิดหวัง! บ่มเพาะคุณธรรม นายรอน มา 2 ปี สุดท้ายลาออกกลับไปถือปืนรบกับทหารไทย
ผบ.มทบ.25 มอบบ้านให้กับพลทหารกองประจำการ ตามโครงการ พสบ.ทภ.2 ร่วมซ่อม/สร้างบ้านใหม่
ตร.จับช่างแอร์ ขโมยเงินกฐินวัดดังอ้างเอาเงินไปปั่นสล็อตจนหมด

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​