วันที่ 13 ต.ค. – ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล กล่าวถึงไทยจะเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ว่า หากคำถามนี้ถามเมื่อ 2 เดือนที่แล้วตนคงไม่เห็นด้วย แต่วันนี้ด้วยข้อมูลที่มีอยู่ 3-4 ข้อมูลคือ 1. อัตราการฉีดวัคซีนของคนในประเทศ ข้อมูล ณ วันที่ 12 ต.ค.2564 คนไทยฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 ไปแล้ว 50 % ส่วนเข็มที่ 2 ก็เกิน 1 ใน 3 ไปแล้ว ส่วนคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงและผู้สูงอายุตัวเลขการฉีดในแต่ละจังหวัดก็ดำเนินไปด้วยดี มีจังหวัดทางภาคใต้ที่ยังฉีดน้อยไป จึงอยากเชิญชวนให้ฉีดวัคซีนกันมากขึ้น ซึ่งถ้าจำนวนคนที่ฉีดวัคซีนมีมาก โอกาสที่จะลดความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงก็มีมากขึ้น
ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์กล่าวยืนยันว่า ตอนนี้เรามีวัคซีนเพียงพอ เพราะในเดือน ต.ค.,พ.ย. จะมีวัคซีนเข้ามาเดือนละ 20 ล้านโดส ซึ่งขบวนการฉีดจะต้องฉีดให้ได้มากพอ ถ้ามีวัคซีนพอแต่ไม่มีคนมาฉีดก็ไม่มีประโยชน์ และคนจะต้องยอมให้ฉีด เพราะถ้าคนไม่ยอมให้ฉีดก็จะลำบาก ซึ่งเท่าที่ทราบขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้รอให้คนเดินมาฉีด แต่นำวัคซีนเข้าไปหาคน ซึ่งตรงนี้จะทำให้การฉีดวัคซีนได้มากขึ้น
ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์กล่าวอีกว่า มาตรการที่ 2 มาตรการส่วนบุคคล ซึ่งตรงนี้ผ่อนไม่ได้เลย การเปิดประเทศโดยให้คนต่างประเทศเข้ามาท่องเที่ยวและมาใช้บริการภายในประเทศไทย ดังนั้นทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการจะต้องรักษามาตรการตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย ต้องรักษาระยะห่าง บุคลากรที่อยู่ในสถานประกอบการ จำเป็นต้องตรวจ ATK เพื่อสร้างความปลอดภัยไม่เฉพราะคนในหน่วยงานตัวเอง แต่รวมถึงผู้มารับบริการด้วย
และ 3. ระบบการบริหารจัดการ การปกครอง จะต้องเข้มงวดในระดับหนึ่ง ตราบใดที่มีมาตรการแต่คนไม่ทำตาม สุดท้ายจะเกิดการแพร่ระบาด ดังนั้นควรพยามติดตามมาตรการที่รัฐบาลออกมา กรณีคนต่างประเทศหรือคนไทยที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวระหว่างจังหวัด ถ้าทุกคนทำตามข้อกำหนดอย่างจริงจัง เชื่อว่าจะเกิดผลดี ไม่ใช่พูดแล้วไม่ทำ ก็จะประเมินมาตรการไม่ได้ แต่ถ้าทำตามมาตรการแล้วตัวเลขผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นก็ต้องมีมาตรการที่เข้มข้นขึ้นอีก ซึ่งปีที่แล้วมีมาตรการผ่อนปรนถึง 6 มาตรการ ดังนั้นปีนี้ถ้าค่อยๆ ผ่อนปรนและติดตามสถานการณ์อย่าเร็วจนเกินไป เพราะข้อดีของเราคือตอนนี้มีวัคซีนแล้ว ข้อเสียคือเราเจอสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งเวลานี้ตนเชื่อว่าสายพันธุ์เดลต้าที่ระบาดในไทยคุมได้ในระดับหนึ่ง จากที่เรามีคนไข้ที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และคนไข้ปลอดอักเสพหนัก หรือคนไข้นอนโรงพยบาลก็น้อยลดลง และปิดโรงพยาบาลสนามบางที่ไปแล้ว อัตราการเสียชีวิตก็กำลังลดลง
ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์กล่าวต่อว่า คาดการว่าเมื่อเปิดประเทศอาจจะมีคนติดเชื้อเยอะขึ้น ก็ไม่เป็นไรถ้าตราบใดที่เยอะขึ้นบ้างแต่ไม่มีคนเสียชีวิต หรือเสียชีวิตก็ยังควบคุมได้ดีอยู่ อย่าลืมว่าคนติดเชื้อทุกคนถ้าไม่รุนแรงสุดท้ายภูมิคุ้มกันเขาจะเกิด แต่ขอความร่วมมือทุกคน ตรงนี้ไม่ใช่หน้าที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่จะต้องช่วยกัน
ส่วนการเปิดประเทศ หากมีการติดเชื้อ แพทย์จะรับมือไหวหรือไม่นั้น ศ. ดร. นพ.ประสิทธิ์กล่าวว่า ตอนนี้โชคดีที่ รพ.ศิริราช ได้ผ่อนพักบ้าง และมีเตียงว่างบ้างแล้ว แต่ก็พร้อมจะรองรับหากเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ภาวะนาไม่ให้เกิดอะไรขึ้น แต่ถ้ามันจะเกิด มันก็เกิด ซึ่งตอนนี้ก็ทบทวนอุปกรณ์อะไรที่ขาดและต้องเติมเข้ามาเพื่อเตรียมพร้อมรองรับไว้ ถ้าไม่ต้องใช้ก็ดี แต่ถ้าต้องใช้ก็พร้อมใช้ คิดว่าทุกโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ก็จัดเตรียมเรื่องนี้ไว้เช่นกัน
ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์กล่าวด้วยว่า คาดว่าตัวเลขผู้ติดเชื้ออาจจะเยอะขึ้นที่มาจากทั้งนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา และเกิดจากความหย่อนยานของคนในประเทศ ซึ่งนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเราอาจจะต้องมีการตรวจอย่างน้อย 2-3 ครั้ง ส่วนคนในประเทศสิ่งที่ต้องระวังคือ อยากให้ย้อนไปดูภูเก็ตแซนบล็อกว่า เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ซึ่งภูเก็ตแซนบล็อกมีมาตรการดี แต่มีชนต่างด้าวที่หลบเข้าไปทำงาน ซึ่งไม่ได้ผ่านการตรวจหาเชื้อ ดังนั้นเราต้องช่วยกันดูแล ถ้าเป็นแรงงานต่างด้าวที่ทำตามระเบียบก็จะได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อให้ทำงานร่วมกันได้ ก็จะเกิดประโยชน์ทั้งสองฝ่าย จึงอยากฝากให้ทุกคนช่วยกันดูแล
///