“ดร.สติธร” ชี้ข้อกม.”นายกฯอิ๊งค์” มีโอกาสรอดคดีคลิปอังเคิล เหตุคุย “ฮุน เซน” ไม่เป็นทางการ

"ดร.สติธร" ชี้ข้อกม."นายกฯอิ๊งค์" มีโอกาสรอดคดีคลิปอังเคิล เหตุคุย "ฮุน เซน" ไม่เป็นทางการ

วันที่ 23 ส.ค.68 ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า ให้สัมภาษณ์ Top News กรณีคดีของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการวินิจฉัยในวันที่ 29 ส.ค.นี้ คาดการณ์ว่าศาลจะตัดสินคดีออกมาในแนวทางไหน ว่า ความเห็นส่วนตัวคิดว่ามีโอกาสรอดมากกว่าไม่รอด หมายถึงว่าศาลก็พิจารณาว่าน่าจะไม่ไม่ไม่เข้าข่ายขาดคุณสมบัติ

ส่วนเหตุผลที่มองว่านายกรัฐมนตรีรอดคือ โดยข้อกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีว่าเข้าข่ายขาดคุณสมบัติหรือไม่ ซึ่งผู้ร้องได้ร้องไป 2 เรื่อง ส่วนคลิปที่หลุดมาสะท้อนว่านายกฯไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ละเมิดจริยธรรมทางการเมืองอย่างร้ายแรง ถ้าเป็นเรื่องคุณสมบัติแบบนี้ ตนมองว่า พฤติกรรมที่เกิดขึ้นภายใต้คลิป ว่าถูกหรือผิด เพียงแต่ว่าทำให้นายกฯขาดคุณสมบัติหรือไม่ ถ้าสมมติว่าศาลวินิจฉัยว่านายกฯ เข้าข่ายว่ายังไม่ขาดคุณสมบัติ แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น อาจจะมีปัญหาเข้าข่ายบริหารงานผิดพลาด หรือทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบในทางการทูตหรือไม่ และเรื่องดังกล่าวสามารถไปร้องดำเนินการได้ ในกลไกลอื่น เช่น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญดูแค่เรื่องคุณสมบัติอย่างเดียว แต่วันนี้เรื่องเดินมาถึงศาลรัฐธรรมนูญ ต้องมารับวินิจฉัยเรื่องนี้ แต่ศาลคงไม่ได้วินิจฉัยบนพื้นฐานว่าสังคมพอใจหรือไม่พอใจอย่างไร

“ตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทีมนายกฯทำไมไม่สู้ประเด็นนี้ ว่าการโทรศัพท์กันระหว่างนายกฯกับสมเด็จฮุนเซน เป็นการกระทำส่วนบุคคล แม้ว่า 2 คนจะมีตำแหน่ง ในทางการเมืองทั้งคู่ แล้วก็เป็นการคุยกันในเรื่องบ้านเมือง แต่ไม่ได้เป็นทางการ แต่บังเอิญว่าอีกฝ่ายจงใจปล่อยคลิปให้ออกมาเพื่อสร้างความเสียหายกับประเทศไทย”

ในมุมนี้จริงๆ ก็มองได้ว่า ศาลอาจจะบอกว่า ไม่ใช่การกระทำทางการเมือง ที่ศาลจะต้องเข้าไปวินิจฉัย ไม่เหมือนเคสของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ว่าของนางสาวแพทองธารยังก้ำกึ่งว่าคุยกันไม่เป็นทางการ ไม่ได้เป็นการเปิดโต๊ะ หรือว่าเป็นการต่อสายแบบเป็นทางการ มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยเจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชา ตนมองว่า น้ำหนักของเรื่องนี้จริงๆ ไม่ควรจะไปเอาผิดนายกฯที่ศาลรัฐธรรมนูญ ควรจะไปเอาผิดที่อื่น ที่ตรงกว่า คือ ป.ป.ช.

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ส่วนหากผลออกมาไม่รอด ตามรัฐธรรมนูญก็ต้องไปเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ประธานสภาก็จะเรียกประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมก็จะมีการเสนอชื่อบุคคลของพรรคการเมืองที่มีเสียงในสภาตอนนี้ ที่มีเสียงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 เช่น พรรคเพื่อไทยเหลือ 1 คือ นายชัยเกษม นิติสิริ ภูมิใจไทยคือ นาอนุทิน ชาญวีรกูล พรรครวมไทยสร้างชาติก็จะมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาและนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค และพรรคประชาธิปัตย์คือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์

 

 

ส่วนจะมีการเสนอนายชัยเกษม แคนดิเดตนายกอีกคนของพรรคเพื่อไทยคิดว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะมีการเห็นด้วยหรือไม่ ว่า การจะเสนอแคนดิเดตคนถัดไปแล้วยังเป็นพรรคเพื่อไทยอีก คิดว่าเป็นเรื่องยาก ในแง่ของความชอบธรรม ต้องยอมรับว่าถ้าเกิดนายกฯโดนวินิจฉัยให้ออกจากตำแหน่งแปลว่าเป็นเรื่องใหญ่จากเรื่องคลิปเสียง คือทำพลาดขนาดนี้แล้วศาลรัฐธรรมนูญยังวินิจฉัยออกจากตำแหน่ง ยังจะเสนอชื่อแคนดิเดตของพรรคตัวเองขึ้นมาอีกหรือ โอกาสการได้รับการยอมรับจากพรรคร่วมปัจจุบันด้วยกันเองยังยาก ในเชิงผลประโยชน์ พรรคร่วมดูแต่เรื่องหลักการอย่างเดียวไม่ได้ ก็จะดูเรื่องผลประโยชน์ด้วย เพราะฉะนั้นเพราะโอกาสที่จะเสนอนายชัยเกษมขึ้นมาแล้วจะได้รับการยอมรับง่ายๆ เป็นเรื่องยาก

เมื่อถามว่ามีโอกาสหรือไม่ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านไปจับมือจัดตั้งรัฐบาลแทนนั้น ดร.สติธร กล่าวว่า
พรรคฝ่ายค้านปัจจุบันเสียยังไม่ถึงครึ่ง ต้องได้รับความร่วมมือจากพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน และเงื่อนไขของพรรคประชาชนที่มีต่อพรรคภูมิใจไทย ข้อเสนอคือ โหวตให้แต่ไม่ร่วมรัฐบาล ถ้าสมมุติ ประชาชนโหวตให้นายอนุทินเป็นนายกฯ จะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งหนักกว่า ปัจจุบันที่เป็นรัฐบาลปริ่มน้ำอีก
และรวมไปถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยอาจจะดึงภูมิใจไทยกลับมา
ในชั่วโมงนี้ ตนคิดว่าภูมิใจไทยไม่กลับมา เกินกว่าที่แต่ละฝ่ายจะกลืนน้ำลายตัวเองแล้วก็กลับมาจับมือกันง่ายๆ 2 พรรคจะกลับมาจับมือกันได้อีกทีก็คือต้องเลือกตั้งใหม่ก่อน

ส่วนกรณีที่ประชาชนเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ว่าไม่แปลกที่ประชาชนเวลาไปถามความเห็นเพราะในบรรดาแคนดิเดตทั้งหมดพลเอกประยุทธ์ ดูโอเคที่ทำให้การเมืองที่มีสภาพขัดแย้งกันน้อยลงที่สุด แต่กลับมาจริงมีโอกาสถึงขั้นว่า การที่จะเป็นกาวใจ ไปชวนภูมิใจไทยกลับมาร่วมรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลมีเสียงมั่นคง ยังพอมีความเป็นไปได้ เพียงแต่ว่าอย่างที่บอกก็จะตามมาด้วยการปรับเก้าอี้คณะรัฐมนตรีกันใหม่ และอาจจะมาแบบบริหารสถานการณ์ด้วยคำมั่นสัญญาว่าจะมาจัดการเรื่องอะไรบ้าง แล้วนับไปเลยว่าจะอยู่กี่เดือน ก่อนที่จะมีการยุบสภา แต่ถ้ากรณีพลเอกประยุทธ์มาท่านอาจจะอยู่ได้นานกว่าคนอื่น แต่ว่า ถ้ามาก็จะเป็นปัญหาของพรรคเพื่อไทยขึ้นมาทันที เพราะจะทำให้อนาคตของพรรคเพื่อไทยที่ต้องฝากความหวังไว้กับการผลักดันนโยบายเรือธงอะไรต่างๆ เพื่อเรียกคืนความนิยมจะยิ่งทำไม่ได้ เต็มมือ แต่ถ้าเกิดสถานการณ์พาไปที่ถึงพลเอกประยุทธ์ แนวทางแบบนั้นของพรรคเพื่อไทยจะเกิดขึ้นยาก ก็จะมีโอกาสว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ได้ยอมง่ายๆ ที่จะยอมโหวตพลเอกประยุทธ์ และตามรัฐธรรมนูญ พลเอกประยุทธ์กลับมาได้ เพียงแต่ว่าถ้าสมมุติมีการโหวตท่านเป็นนายกฯจริงๆ ก็คงต้องขอพระราชทานอนุญาตลาออกจากตำแหน่งขององคมนตรีเพื่อมาดำรงตำแหน่งนายกฯ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"กรมอุตุฯ" ประกาศเตือนรับมือ พายุโซนร้อน "คาจิกิ" มีแนวโน้มทวีกำลังแรงขึ้น ฝนถล่มหนัก
ตำรวจทางหลวงอยุธยา รวบ 2 หนุ่มกระบะคอก 2 คัน รับงานผ่านกลุ่มไลน์ ขนอะโวคาโด เถื่อนมูลค่านับล้าน เข้ากรุง คอตกอ้างไม่รู้แค่รับงานแลกเงิน 5 พัน
"ศูนย์คุณธรรม" จัดสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 14 รวมพลังครอบครัวและภาคีเครือข่ายสร้างระบบนิเวศคุณธรรมยั่งยืน
"ยาดมหงส์ไทย" คว้ารางวัล Asia Pacific Enterprise Awards 2025
ประกาศผลแล้ว ประกวดสารคดีสั้น บทบาทภารกิจ "กรมตรวจบัญชีสหกรณ์" หัวข้อ บัญชีครัวเรือน แก้จน
"นิพนธ์" ร่วมกิจกรรมการใช้ " AI -ChatGPT" หนุนยกระดับเรียนรู้ พัฒนาสงขลาเมืองแห่งการศึกษา

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​