“วัดเครือวัลย์วรวิหาร” ตั้งโต๊ะแจงดำเนินคดีอดีตไวยาวัจกร ยักยอกเงินวัด 56 ล้านบาท พบปลอมลายมือชื่อเจ้าอาวาส 240 ครั้ง

"วัดเครือวัลย์วรวิหาร" ตั้งโต๊ะแจงดำเนินคดีอดีตไวยาวัจกร ยักยอกเงินวัด 56 ล้านบาท พบปลอมลายมือชื่อเจ้าอาวาส 240 ครั้ง

ไวยาวัจกรวัดฝ่ายกฎหมายวัดเครือวัลย์วรวิหาร ตั้งโต๊ะชี้แจงการดำเนินคดีกับอดีตไวยาวัจกร ยักยอกเงินวัด 56 ล้านบาท ตรวจสอบประวัติย้อนหลัง 10 ปี พบปลอมลายมือชื่อเจ้าอาวาส 240 ครั้ง ด้านเจ้าอาวาสยอมรับเสียใจ ผิดหวังที่ไว้ใจคนใกล้ตัว

ไวยาวัจกรวัดฝ่ายกฎหมาย ตั้งโต๊ะชี้แจง กรณีที่มีบุคคลภายในวัดปลอมลายมือชื่อเจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์วรวิหาร ไปถอนเงินออกจากบัญชีวัดกว่า 240 ครั้ง ยักยอกเงินกว่า 56 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน ปี 67 ที่ผ่านมา ในส่วนการดำเนินการขณะนี้แบ่งเป็น 3 คดี

 

คดีแรก พบการกระทำความผิดคือเมื่อเดือนเมษายน 2567 ทางวัดได้รับบริจาคจากกองทัพเรือเป็นแคชเชียร์เช็ค 1.5 ล้านบาท ลงวันที่ 10 เมษายน 2567 โดยในแคชเชียร์เช็คระบุว่ามอบให้ทางวัด จึงต้องเอาเข้าบัญชีวัด ทางเจ้าอาวาสจึงมีการมอบให้นายกฤษณ์ ที่เป็นไวยาวัจกรวัดในตอนนั้น เอาแคชเชียร์เช็คดังกล่าวไปขึ้นเงินและเอาเข้ายังบัญชีของวัด / ต่อมาทางเจ้าอาวาสได้ทวงถามไปยังนายกฤษณ์ เพราะในขณะนั้นจำเป็นจะต้องบูรณะศาสนสถาน แต่นายกฤษณ์อ้างว่าไม่ว่าง และได้มอบหมายให้นายชัยณรงค์ซึ่งเป็นผู้ช่วยไวยาวัจกรในตอนนั้นนำเงินไปเข้าธนาคาร ทางเจ้าอาวาสเลยมีการติดต่อไปยังนายชัยณรงค์เพื่อทวงถามเรื่องเงิน แต่ก็บ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด/ ทางวัดเลยให้นายกฤษณ์เข้ามาที่วัดเพื่อจะสอบถามเรื่องเงิน แต่ก็ไม่สามารถชี้แจงได้โดยอ้างว่าบัญชีนี้อยู่กับนายชัยณรงค์ ในการจัดการดูแลเบิกถอนเงินในการบูรณะปฏิสังขรณ์ภายในวัด จากนั้นทางวัดได้ไปขอรายงานการเดินบัญชีพบว่ามีการถอนเงินไปทั้งหมด 6 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย. มีการถอนเงิน 290,000 บาท / 14 เม.ย. มีการถอนเงิน 289,000 บาท 17 เม.ย. 294,000 บาท  20 เม.ย. 284,000 บาท / 23 เม.ย. 160,000 บาท และ 28 เมษายน 200,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 1,520,000 บาท

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ยังพบว่า นายชัยณรงค์มีการเบิกจ่ายเงินจากบัญชีวัดไปทั้งหมดกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ทางตำรวจ สน.บางกอกใหญ่ได้สรุปสำนวนส่งฟ้องอัยการ และทางพนักงานอัยการอยู่ระหว่างสรุปสำนวนส่งฟ้องต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตลิ่งชัน ซึ่งคดีพยานหลักฐานไม่สามารถดำเนินคดีกับนายกฤษณ์ได้

ในส่วนคดีที่ 2 จากการกระทำผิดของชัยณรงค์เกิดขึ้น ก็ได้มีการไล่เอกสารทั้งหมด มีการไปขอ statement จากธนาคาร พบว่าประมาณเดือน มกราคม 64 นายชัยณรงค์ได้มอบแคชเชียร์เช็คลงวันที่ 12 มกราคม 64 จำนวน 1 ล้านบาท และเงินสดกว่า 270,000 บาทให้กับนายกฤษณ์ เพื่อนำเข้าบัญชีธนาคารในนามวัด เป็นปัจจัยในการบำรุงอาคารเก็บรักษากระดูกคนตาย เป็นบัญชีเงินฝากประจำ แต่เมื่อตรวจสอบย้อนหลังปรากฏว่าไม่มีการนำฝากเงินเลย เจ้าหน้าที่จึงมีการดำเนินคดีกับนายกฤษณ์ในฐาน เป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ไปเป็นของตนเองโดยทุจริต แจ้งความไว้เมื่อ 11 ตุลาคม 2567 ตอนนี้กองบังคับการกองปราบปรามได้รวบรวมพยานบุคคลและพยานเอกสารที่เกี่ยวข้อง และสรุปสำนวนส่งฟ้องอัยการแล้ว

 

ในคดีที่ 3 ได้มีการไปขอ statement ย้อนหลังทุกธนาคาร ตั้งแต่ปี 2557 ถึงปี 2567 พบว่ามีการทำธุรกรรมผิดปกติ 4 บัญชี โดยมีการเบิกถอนเงินวันเว้นวัน รวม 240 ครั้ง โดยพบว่าเป็นการปลอมลายมือชื่อเจ้าอาวาส เนื่องจากได้มีการส่งตรวจที่กองพิสูจน์หลักฐานเรียบร้อยแล้ว
โดยแต่ละครั้งที่มีการถอนเงินจะถอนในยอดเงินที่ไม่เกิน 300,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งเป็นไปตามระเบียบของทางธนาคารที่ระบุไว้ว่า หากมีการเบิกเงิน 300,000 บาทขึ้นไป จะต้องมีการโทรเช็คกับทางเจ้าของบัญชีร่วม ซึ่งนายกฤษณ์จะทราบดีเพราะอดีตเคยเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร จึงทำให้การเบิกจ่ายแต่ละครั้งไม่มีคนสงสัย

อีกทั้งนายชัยณรงค์ได้มีการเปลี่ยนแปลงเอกสาร ในการเบิกจ่ายของบัญชีวัด โดยชื่อเดิมที่มีอำนาจเป็นชื่อของนายกฤษณ์กับเจ้าอาวาส แต่นายชัยณรงค์ได้ไปเปลี่ยนให้เป็นชื่อตัวเองมีอำนาจในการเบิกจ่ายเงิน
ซึ่งคดีนี้ได้ดำเนินคดี กับนายกฤษณ์และชัยณรงค์ ในฐานความผิดลักทรัพย์, ยักยอกทรัพย์ และใช้เอกสารปลอม ซึ่งทางตำรวจกองปราบอยู่ระหว่างรวบรวมพยาน
หลักฐาน

โดยสรุป ผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีมีการยักยอกเงินวัดไปทั้งหมด 56 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด รวมทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปปง. สามารถอายัดทรัพย์สิน ของ 2 ผู้ต้องหาได้ 15-16 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นของนายกฤษณ์ เป็นที่ดินย่านถนนเพชรบุรี มีมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท นอกจากนี้ยังชื่อญาติของนายชัยณรงค์ครอบครองบ้าน และคอนโด ย่านบางใหญ่ ส่วนเงินสด 1-2 ล้านบาท เป็นของนายชัยณรงค์ ที่ยึดอายัดไว้
ส่วนเงินอีกกว่า 40 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผลของเส้นทางการเงิน ที่ ปปง.เป็นผู้รับผิดชอบ

 

อย่างไรก็ตามหลังจากเกิดเหตุการณ์ ทางสมเด็จพระพุทธพจนวชิรมุนี เจ้าอาวาสวัดเครือวัลย์วรวิหาร ได้มีการมอบหมายให้ทีมไวยาวัจกรวัดชุดใหม่ดำเนินการอย่างเด็ดขาด และจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ขอให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดเรื่องก็รู้สึกไม่สบายใจ ถือว่าเป็นบทเรียน เพราะคนที่ก่อเหตุ เป็นเสมือนญาติ ที่คอยดูแลกันมานาน แต่กลับมาเกิดเรื่องที่สำคัญ ดังนั้นก็อยากจะเดินหน้าแก้ปัญหา

 

สำหรับกระแสข่าวที่บอกว่ามีผู้ร่วมขบวนการมากกว่า 2 คน จากการตรวจสอบพยานหลักฐานไม่สามารถดำเนินคดีกับผู้อื่นได้ มีหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหา 2 คนนี้ได้เท่านั้น

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"cool the World" บริษัทอังกฤษตรางู ร่วม "สนง.สลากฯ-มูลนิธิยังมีเรา" ส่งเสริม เยาวชน "kiddee ต้นกล้าดีมีคุณธรรม" season 3 ร่วมโชว์สกิลรณรงค์รักษ์โลก
จุฬาราชมนตรีเปิดอาคารเรียน รร.บ้านแสงวิมานศึกษา
"เอกนัฏ" ส่งสุดซอย บุกโกดังใหญ่กลางกรุงฯ ยึดแบตเตอรี่-พาวเวอร์แบงค์ ไม่มีมอก. มูลค่ากว่า 13.5 ล้านบาท
"วัดเครือวัลย์วรวิหาร" ตั้งโต๊ะแจงดำเนินคดีอดีตไวยาวัจกร ยักยอกเงินวัด 56 ล้านบาท พบปลอมลายมือชื่อเจ้าอาวาส 240 ครั้ง
“ทภ.2” เปิดโปง “กัมพูชา” เร่งปั่นเฟกนิวส์ ปูทางเผชิญหน้าทางทหารครั้งใหม่
โรงพยาบาลบางพลี จัดฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุไฟไหม้เสมือนจริง

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​