“ทนายวิญญัติ” แขวะแพทยสภาอาจมีอคติ เบิกความคดีชั้น 14 โต้ถ้าเป็นญาติป่วยต้องรออาการวิกฤตหรือไม่

"ทนายวิญญัติ" เผยไต่สวนครั้งหน้า 30 ก.ค. พยานของ "ทักษิณ" ในฐานะผู้รู้เห็นตั้งแต่การกลับมา -การส่งตัวไป รพ.และขอพระราชทานอภัยโทษ ยอมรับกังวลแพทยสภาเบิกความมีอคติหรือความเห็นทางการเมืองมาเกี่ยวข้อง เผยแพทยสภายอมรับจำเลยป่วยจริง มีข้อบ่งชี้เป็นโรคเรื้อรังมีภาวะฉับพลันต้องส่ง รพ.

“ทนายวิญญัติ” แขวะแพทยสภาอาจมีอคติ เบิกความคดีชั้น 14 โต้ถ้าเป็นญาติป่วยต้องรออาการวิกฤตหรือไม่ – Top News รายงาน

วันที่ 25 ก.ค.68 ที่ศาลฎีกา นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการไต่สวนเสร็จสิ้นว่าวันนี้ในฐานะทนายความก็มาฟังการไต่สวนพยานในกลุ่มแพทยทสภา เดิม ทราบว่ามีพยาน 6 ปาก แต่ศาลพิจารณาเห็นควรไต่สวนเพียง 3 ปาก เป็นอาจารย์แพทย์ ซึ่งในฐานะทนายก่อนที่จะมาฟังวันนี้ก็ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงหลายอย่างเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของแพทยสภา กังวลว่าหากแพทยสภามีอคติทางการเมืองหรือนำความเห็นทางการเมืองมาเกี่ยวข้องกับการเบิกความ เชื่อว่าศักดิ์ศรีของแพทยสภาจะลดน้อยลง หรืออาจไม่หลงเหลือ แต่ทั้งนี้ได้พยายามถามพยานทั้งสามปากที่มาเบิกความว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการลงมติลงโทษแพทย์โรงพยาบาลตำรวจที่ทำการรักษานายทักษิณ หรือไม่ โดยมีพยาน 1 ปาก ปฏิเสธตอบคำถาม แต่ส่วนตัวเชื่อว่าเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดีเป็นกระบวนการของแพทยสภา ซึ่งแพทย์โรงพยาบาลตำรวจที่ถูกกล่าวหาก็สามารถใช้สิทธิต่อสู้คดีทางศาลปกครองได้อยู่แล้ว

ส่วนการเบิกความของพยานในวันนี้โดยรวมเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่เป็นที่สงสัยของประชาชนทั้งประเทศ ที่สนใจคดีนี้คือการให้ของแพทยสภาที่ยอมรับว่ามีอาการป่วยจริง มีอาการหลายโรคที่ปรากฏและมีข้อบ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นโรคเรื้อรังและโรคที่เกิดภาวะเฉียบพลัน ส่วนโรคที่มีภาวะเฉียบพลันถูกส่งไปยังโรงพยาบาลตำรวจ ในคืนวันที่ 22 ต่อเนื่องวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ในฐานะทนายจึงพยายามถามถึงมาตรฐานการตรวจและวินิจฉัยโรคของแพทย์ ซึ่งเบิกความตรงกันว่าจะต้องตรวจให้ครบถ้วนว่าอาการเฉียบพลันหรืออาการกำเริบของโรคมีจริงหรือไม่ ซึ่งมีความจำเป็นต้องแอดมิดที่โรงพยาบาล

ทนายวิญญัติ

ข่าวที่น่าสนใจ

ส่วนการรักษาตัวที่ชั้น 14 หรือห้องฉุกเฉิน หนึ่งในพยานเบิกความว่าโรงพยาบาลอื่นก็มีห้อง VIP และมีการจัดระบบเทียบกับห้องฉุกเฉิน ซึ่งมีการประสานงานไว้แล้ว สอดคล้องกับกรณีของนายทักษิณ โดยเห็นว่าการเบิกความของแพทย์ทั้ง 3 คนที่อ้างอิงราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ให้ความเห็นเฉพาะโรคที่ไม่ร้ายแรง ส่วนโรคที่ร้ายแรงไม่ให้ความเห็น ถือเป็นดุลพินิจของศาลหลังจากนี้ อย่างไรก็ตามในฐานะทนาย ที่ศาลไต่สวนพยานหลายปาก อยากให้ทุกฝ่ายใช้ดุลยพินิจพิจารณาว่าไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือใครก็ตามหากญาติผู้ใหญ่ของท่านหรือคนใกล้ชิดป่วยพวกท่านจะทำอย่างไร จะต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลหรือไม่ จะต้องเฝ้าระวังว่าอาการวิกฤตหรือไม่ หรือไม่เห็นว่าจะฉุกเฉิน หรือไม่จำเป็นเร่งด่วนอย่างนั้นหรือ

“ไม่ได้เรียกร้องให้เห็นใจอดีตนายกรัฐมนตรี แต่พูดถึงกรณีทั่วไป ที่ท่านต้องคิดบ้าง ต้องมีจิตสำนึกหรือความเป็นมนุษย์บ้าง ถ้าไม่เจอกับตัวเอง ก็ไม่รู้นะ ก็โอเค ซึ่งวันนี้เห็นว่ามีความชัดเจนขึ้น ” นายบัญญัติ กล่าว

ส่วนการไต่สวนครั้งหน้าวันที่ 30 กรกฎาคม ได้ยื่นพยานของจำเลยไปคือ ศาสตราจารย์เกียรติคุณวิษณุ เครืองาม ซึ่งเป็นพยานประจักษ์ข้อเท็จจริง และมีส่วนรู้เห็นในในการกลับมาและการรับตัว การส่งตัวนายทักษิณไปโรงพยาบาลตำรวจ รวมถึงกระบวนการอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งการขอพระราชทานอภัยโทษ ดังนั้นด้วยข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ปรากฏทำให้เห็นว่าอาการป่วยของนายทักษิณ เป็นอาการป่วยของบุคคลสำคัญของประเทศ เนื่องจากเคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นอาการป่วยที่จำเป็นต้องหาสาเหตุ และสืบค้นให้ได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ ซึ่งมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ตามมาตรฐานทางการแพทย์ ที่สำคัญแพทยสภาไม่เคยตำหนิการใช้ดุลยพินิจทางการแพทย์แต่อย่างใด เพียงแต่เห็นตรงข้ามในการปฏิบัติของแต่ละคน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องพิสูจน์ทราบในอนาคต โดยในการไต่สวนครั้งหน้าเชื่อว่าศาสตราจารย์ เกียรติคุณ วิษณุ จะให้ข้อเท็จจริงต่อศาล จะเป็นประโยชน์และนำไปสู่การวินิจฉัยต่อไป และในการไต่สวนครั้งหน้านายทักษิณก็ไม่ได้เดินทางมาด้วยตัวเองแต่มอบหมายให้ทนายความมาแทน แต่เชื่อว่าศาลจะรับฟังคำสั่งคำร้องนี้

 

 

นายวิญญัติยอมรับว่าข้อสังเกตเกี่ยวกับคดีอาจส่งผลเชิงลบต่อนายทักษิณ มีมาโดยตลอดอยู่แล้วในฝ่ายที่อยู่ตรงข้าม ทั้งในเรื่องข่มขู่ว่าผลจะออกมาในทิศทางใด เข้าข่ายลักษณะเป็นการชี้นำศาลและสังคม ยอมรับว่าไม่สบายใจในเรื่องนี้ ชี้ว่าสังคมไทยแตกแยกเพราะพฤติกรรมของบุคคลเหล่านี้ แต่หน้าที่ของทนายคือพิสูจน์ข้อเท็จจริงในศาล อยู่ข้างนอกไม่ต้องการให้ความเห็นเกี่ยวกับคดี ส่วนความเห็นฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างไรนั้นก็สุดแล้วแต่ เชื่อว่าการพิสูจน์ข้อเท็จจริงน่าจะครบถ้วนแล้ว และชี้ว่าการป่วยวิกฤตฉุกเฉินไม่ใช่ประเด็นหลักแต่เป็นเรื่องฉับพลันและเรื่องที่มีอาการต้องส่งตัวอยู่ในศักยภาพของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ หรือการปฏิบัติตามระเบียบเรือนจำหรือไม่

ทั้งนี้ก่อนเริ่มให้สัมภาษณ์นายวิญญัติ เปิดเผยว่าในวันนี้ได้แต่งกายด้วยชุดดำเพื่อไว้อาลัยให้กับการสูญเสียจากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“แปดริ้วเมืองร้าง!” 70 บัส 60 ตู้ มุ่งหน้าสนามศุภฯ แฟนบอลหมอนทองวิทยา ยกจังหวัด ตามเชียร์ลั่นกรุง
เทศบาลเมืองเบตงเปิดเวทีประชาคม “จาเราะกางา” จัดทำแผนชุมชนปี 2569
ม.บูรพา ผสมผสานงานศิลป์ร่วมสมัย จัดโครงการ ศิลป์สืบสร้าง วัฒนธรรมสืบสาน นิทรรศการ รูป นาม Form Naam Duo Art Exhibition
สถานการณ์น่าห่วง น้ำหนุนท่วม "ลานเขื่อนท่าน้ำนนท์ฯ" จนท.เร่งนำกระสอบทรายมาวางเสริมแนวคันกั้นน้ำ พร้อมเฝ้าระวัง 24 ช.ม.
ศอ.บต. เปิดมหกรรม “THAI DEEP SOUTH CONNECT ของดีพื้นที่วิถีพื้นถิ่นชายแดนใต้ ครั้งที่ 3”
“เต้ พระราม 7” จี้รัฐบาลเห็นใจชาวเกาะเกร็ด ลุยน้ำจนเท้าเปื่อย–ขายของลำบาก ชี้เยียวยา 9,000 บาท ไม่พอใช้ชีวิตกลางน้ำ

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​