จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.สำเหร่ รับแจ้งเหตุ รถยนต์ชนคนเดินเท้า มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ บริเวณปากซอยเจริญนคร 45 ถนนเจริญนคร แขวงบางลำภูล่าง เขตคลองสาน กรุงเทพฯ จากการตรวจสอบทราบว่า ผู้เสียชีวิตคือพลเมืองดีที่ช่วยเหลือรถจยย. ที่ขับล้มอยู่กลางถนน ระหว่างช่วยเหลือได้ถูกรถเก๋งที่มาด้วยความเร็วชนจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เบื้องต้นจากการเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ พบตรวจวัดได้ 75 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินที่อัตรากฎหมายกำหนด โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อคืนของวันที่9 ต.ค. ที่ผ่านมา
ที่นิติเวชโรงพยาบาลจุฬาฯ เมื่อช่วงบ่ายญาติและเพื่อนร่วมงานของนายพุฒิพงษ์ มนิดสาร อายุ25ปี หรือ แป้ม พลเมืองดีที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุซ้ำซ้อน หลังลงไปช่วยผู้ประสบเหตุจักรยานล้มกลางถนนเจริญนคร ช่วงปากซอยเจริญนคร 45 เขตธนบุรี กรุงเทพฯ เหตุการณ์เกิดเมื่อช่วง 22:00 น ของคืนที่ผ่านมา(9ต.ค.) บรรยากาศเป็นไปอย่างโศกเศร้า มีภรรยาของผู้เสียชีวิตมารับศพด้วย อยู่ในอาการโศกเศร้าตลอดเวลา
นางสาวสุดาพร พืชสี อายุ 24 ปี ภรรยาผู้เสียชีวิตบอกว่าก่อนเกิดเหตุสามีบอกกับตนเองว่าขอออกไปซื้อบุหรี่กับเพื่อน ผ่านไปสักพักเพื่อนของสามีที่ได้รับบาดเจ็บโทรมาบอกว่าสามีถูกรถชน ตนเองและญาติจึงออกไปดู เห็นสามีนอนแน่นิ่งร่างกายเต็มไปด้วยแผลถลอก ส่วนคู่กรณีนั่งอยู่ในรถไม่กล้าลงมา จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำตัวคนขับรถเก๋งไปสอบปากคำต่อที่สน.สําเหร่ ตนเองก็ไปสอบปากคำด้วย ซึ่งจังหวะนั้นคู่กรณีเป็นชาย ได้มาก้มกราบที่เท้าและบอกว่าสำนึกผิดขอรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น พร้อมยอมรับว่าได้ไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาซึ่งตรงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ได้ประมาณ 70 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ส่วนเพื่อนที่มาด้วยกับสามี อาการยังสาหัส ซี่โครงหัก ขาหัก 2 ท่อน ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตากสิน
นางสาวสุดาพร บอกอีกว่า “แป้ม” เป็นเสาหลักของครอบครัว มีลูกชาย 1 คนอายุ 4 ขวบ ส่วนพ่อแม่ของแต้มที่อยู่จังหวัดร้อยเอ็ดหลังทราบเรื่องเกิดอาการช็อคและเป็นลมและเสียใจอย่างมากที่สูญเสียลูกชายไป หลังจากรับศพเสร็จสิ้นจะนำศพไปประกอบพิธีทางศาสนาที่อำเภออาจสามารถจังหวัดร้อยเอ็ด สวนทางคดีขอให้ตำรวจดำเนินคดีถึงที่สุด และตนเองก็จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายด้วย
สวนทางคดีพนักงานสอบสวนสน. สำเหร่ให้ข้อมูลว่า นายกาจภูมิ เลี่ยมพูล อายุ25ปี ญาติเดินทางมาประกันตัววางหลักทรัพย์1เเสน บาท ตั้งแต่เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา พร้อมตั้งข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขับรถขณะมีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ให้ไม่เกิน 50 มิลลิกรัม แต่คู่กรณีรายนี้ เกินไปถึง 67 มิลลิกรัม ส่วนข้อหาอื่น เช่น ฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน พนักงานสอบสวนจะนัดมาสอบปากคำเพิ่มเติม เนื่องจากว่าช่วงเวลาขณะเกิดเหตุเป็นเวลาประมาณ 22:00 น ซึ่งเกินจากช่วงเวลาเคอร์ฟิวไป 4 นาที ถ้าหากว่าผิดกฎหมายก็จะเรียกมาแจ้งข้อหาเพิ่มเติมต่อไป
