“ชัชชาติ” พาคนกรุงฯแบกภาระดอกเบี้ยวันละ 5.4 ล้าน ต่อไป อ้างเหตุยื้อจ่ายหนี้ BTS งวด 2 รอศาลปกครองชี้ผลคดีค้างชำระเงิน

"ชัชชาติ" พาคนกรุงฯแบกภาระดอกเบี้ยวันละ 5.4 ล้าน ต่อไป อ้างเหตุยื้อจ่ายหนี้ BTS งวด 2 รอศาลปกครองชี้ผลคดีค้างชำระเงิน

“ชัชชาติ” พาคนกรุงฯแบกภาระดอกเบี้ยวันละ 5.4 ล้าน ต่อไป อ้างเหตุยื้อจ่ายหนี้ BTS งวด 2 รอศาลปกครองชี้ผลคดีค้างชำระเงิน

 

ข่าวที่น่าสนใจ

2 ก.ค.2568 ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง มีการประชุมสภากรุงเทพมหานคร หรือ กทม. สมัยประชุมสามัญ สมัยที่ 3 ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568 โดยมีวาระสำคัญคือ ญัตติของนายนภาพล จีระกูล สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร หรือ สก. ที่ขอให้กรุงเทพมหานครรายงานความคืบหน้าการดำเนินการชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง หรือ O&M ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ในส่วนที่ค้างชำระ

 

โดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ก่อนเข้าประชุมสภา กทม.ว่า การจ่ายหนี้คืนให้กับบีทีเอส จะประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนที่หนึ่งภาระหนี้ที่อยู่ระหว่างกระบวนการฟ้องร้องครั้งที่ 2 ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ถึงตุลาคม 2565 โดยเป็นหนี้งวดที่ 2 จำนวน 12,245 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินต้นจำนวน 10,127 ล้านบาท ดอกเบี้ยจำนวน 2,118 ล้านบาท ในส่วนของหนี้ก้อนที่ 2 เป็นหนี้ในอนาคต เกิดขึ้นหลังการฟ้องครั้งที่ 2 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565 ถึงธันวาคม 2567 จำนวน 15,499 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินต้น 14,235 ล้านบาท ดอกเบี้ย 1,264 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมามติของสภากทม. ได้มอบหมายให้ กทม.ไปเจรจากับเอกชนเพื่อหาทางออกและขอลดหนี้ โดยเฉพาะภาระหนี้ที่อยู่ในกระบวนการของศาลปกครอง รวมถึงการจ่ายหนี้อื่น ทั้งนี้ กทม.และทางกรุงเทพธนาคมได้เจรจากับเอกชนมาแล้ว 2 ครั้ง เพื่อขอลดหนี้ แต่ทางเอกชนยืนยันไม่ยอมลดหนี้ให้กับ กทม. ซึ่งทางกทม.เข้าใจเอกชน แต่จากมติที่ประชุมสภาฯ ได้ให้กทม.เดินหน้าเจรจากับเอกชน เพื่อต้องการยุติกระบวนการฟ้องร้องและจ่ายหนี้คืนให้กับเอกชน ไม่ต้องรอคำตัดสินของศาลปกครอง กทม.จึงต้องมารายงานผลการหารือให้ทางสภา กทม.รับทราบ พร้อมขอคำแนะนำในดำเนินการต่อจากนี้ เนื่องจากผลการเจรจาที่เกิดขึ้นคือ ทางเอกชนไม่ยอมลดหนี้ให้กทม.

 

นายชัชชาติ กล่าวอีกว่า ในส่วนของค่าจ้างเดินรถในส่วนขยายที่ 2 ที่เป็นส่วนของหนี้ในอนาคต กทม.ยืนยันว่า ต้องการที่จะจ่ายค่าจ้างเดินรถให้กับเอกชน เพราะเอกชนได้ให้บริการเดินรถไปแล้ว แต่เนื่องจากยังมีข้อโต้แย้งบางอย่างเกิดขึ้น จึงทำให้กทม.ยังจ่ายค่าจ้างเดินรถให้เอกชนไม่ได้ พร้อมอธิบายสาเหตุว่า ค่าจ้างเดินรถจะมี 2 ส่วนคือ ส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 โดยส่วนต่อขยายที่ 1 แม้จะมีสัญญาและจ่ายเงินให้เอกชนมาแล้ว แต่มีปัญหาคือ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดทั้งเจ้าหน้าที่ กทม.และเอกชน จึงทำให้กทม.สงสัยว่า จะสามารถจ่ายเงินได้หรือไม่ และหาก ปปช. ตัดสินว่าผิดจะมีปัญหาหรือไม่ รวมทั้งกทม.จะเอาเงินคืนได้หรือไม่ ซึ่ง กทม.ได้สอบถามเรื่องนี้ไปยังป.ป.ช.มาหลายรอบแล้ว ขณะนี้ทางกทม. กำลังเร่งรัดขอคำตอบจาก ป.ป.ช.อยู่

 

สำหรับส่วนต่อขยายที่ 2 พบว่าปัญหาคือสัญญาของส่วนต่อขยายที่ 2 ไม่ได้ผ่านการพิจารณาสภากทม. จากปกติสัญญาที่ต่อเนื่องจะต้องผ่านการพิจารณาของสภากทม. ดังนั้น กทม. จะต้องนำสัญญาส่วนต่อขยายที่ 2 เข้าสู่ที่ประชุมสภาเพื่อขออนุมัติ แต่ทางกทม.จะต้องพิจารณาสัญญาให้รอบคอบ ซึ่งพบว่ายังมีตัวเลขบางตัวที่ทางกทม.เห็นว่าได้พิจารณารอบคอบแล้วหรือไม่ อาทิ สัญญากำหนดให้เพิ่มค่าจ้าง 3% ทุกปีตามอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งหากเพิ่มค่าจ้าง3%เท่ากันทุกปี จะทำให้ค่าจ้างเดินรถในช่วงปลายอายุสัญญาปรับตัวสูงขึ้นมาก ซึ่งกทม.จะขอให้ปรับการเพิ่มค่าจ้างเดินรถตามอัตราเงินเฟ้อตามความจริง ดังนั้นตรงนี้เราต้องเอาให้ชัดก่อนที่จะนำเข้าสภา กทม. ต้องดูให้รอบคอบ เพราะเราไม่สามารถรับผิดชอบสิ่งที่คนอื่นทำมาในอดีตได้ แต่ทั้งนี้ก็จะต้องหารือเพื่อหาทางออกอีกครั้ง

นายชัชชาติ ยืนยันว่า กทม. พยายามที่จะชำระหนี้ให้แก่เอกชน ส่วนไหนที่กทม.สามารถจ่ายได้ก็จะจ่ายก่อน เช่น ค่าโดยสารที่เก็บมาก่อน แม้จะต่ำกว่าต้นทุนการเดินรถ กทม.ก็ได้พยายามจ่ายค่าจ้างเดินรถให้เอกชนตามระเบียบ แม้กทม.จะเห็นใจเอกชน แต่ก็จะต้องพิจารณาให้รอบคอบด้วยเช่นกัน เพราะสุดท้ายทุกคนจะต้องช่วยกันรับผิดชอบ

 

 

เมื่อถามว่า ในส่วนของค่าจ้างเดินรถที่เกิดขึ้น เหตุใด กทม.จึงไม่ยึดตามคำตัดสินของศาลปกครอง ที่ได้ตัดสินให้ กทม.จ่ายค่าจ้างเดินรถในส่วนของหนี้ก้อนที่ 1 นั้น นายชัชชาติ ยืนยันว่าไม่ได้ เพราะศาลเองก็จะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ ซึ่งที่ศาลตัดสินมา หากศาลยึดคำตัดสินเดิม ศาลก็จะต้องลงมาแล้ว และศาลเองยังไม่ปิดรับการให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง โดยความจริง กทม.ก็ต้องการให้ศาลตัดสินโดยเร็วที่สุด แต่มันเป็นคนละเนื้อหา คนละประเด็นกัน เพราะการฟ้องครั้งเเรก เอกชนได้ยื่นเนื้อหาแบบหนึ่ง ส่วนการฟ้องครั้งที่ 2 เอกชนได้ยื่นข้อมูลอีกแบบหนึ่ง และองค์คณะก็ไม่ใช่องค์คณะเดียวกัน แต่หากศาลจะให้ใช้คำตัดสินที่ 1 กทม.ก็ยินดี และศาลก็สามารถลงรายละเอียดคำสั่งได้ทันที นอกจากนี้ กทม. ได้สอบถามไปยังทางทนายความ และอัยการ ของกทม. ว่ากทม.จะสามารถจ่ายค่าจ้างเดินรถในส่วนที่ค้างชำระได้เลยหรือไม่ ซึ่งทางอัยการก็บอกให้ต้องฟังคำตัดสินของศาลปกครอง ดังนั้นส่วนตัวอยากให้ศาลปกครองมีคำสั่งตัดสินลงมา ซึ่งก็กทม.ก็อยากที่จ่ายหนี้ให้หมด ยืนยันไม่ได้ต้องการให้เกิดความล่าช้าในการจ่ายหนี้

 

 

ก่อนหน้านี้จากการประชุมสภากทม. เมื่อวันที่ 9 เม.ย.2568 ที่ผ่านมา โดยนายนภาพล จีระกุล สก.บางกอกน้อย ในฐานะประธานกมธ.ได้รายงานสรุปในกรณีหนี้สินค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ซึ่งกทม.โดยบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) ค้างชำระอยู่ ตั้งแต่ปี 2562 ว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ประชุมพิจารณาปัญหาดังกล่าว พร้อมเชิญผู้เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลทุกด้าน รวมถึงพิจารณาสัญญา ระเบียบ กฎหมาย คำฟ้อง คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ศาลปกครองสูงสุด และแนวคำพิพากษาที่เกี่ยวข้อง จนได้ข้อสรุปว่ามีความจำเป็นที่ผู้บริหารกทม.ควรเร่งชำระหนี้ให้กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC เมื่อพิจารณาจากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด เพื่อลดภาระใช้จ่ายจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทุกวัน

 

 

อีกทั้งยังได้ให้สัมภาษณ์พิเศษ กับ “ท็อปนิวส์” เพิ่มเติม โดยระบุว่า หลังจากที่ตนได้รายงานผลการศึกษาคณะกรรมการวิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (บางส่วน) ต่อที่ประชุมสภากทม. โดยเฉพาะในส่วนของภาระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 รวมถึงภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 5.4 ล้านบาท เห็นชัดเจนว่า ภาระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่มีการจัดการชำระหนี้สินค้างจ่ายดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันได้มูลหนี้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ

ส่วนที่ 1 ยอดหนี้ที่บีทีเอสซี ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 ซึ่งเป็นมูลหนี้ค่าจ้างตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2564 ถึง ตุลาคม 2565) เป็นเงินต้นพร้อมดอกเบี้นจำนวน 12,245 ล้านบาท(เงินต้น 11,811 ล้านบาท)

ส่วนที่ 2 ยอดหนี้ค่าจ้างงานเดินรถและซ่อมบำรุงของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในเส้นทางส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2565 ถึง ธันวาคม 2567 ที่ยังค้างชำระ เป็นเงินจำนวนกว่า 17,121 ล้านบาท

และส่วนที่ 3 คือค่าจ้างงานเดินรถและซ่อมบำรุงของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในเส้นทางส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ในอนาคต ตั้งแต่ 1 มค. 68 ไปจนถึงวันสิ้นสุดอายุสัมปทาน ซึ่งเดิมมีข้อเสนอว่าให้นำเอารายได้ของรถไฟฟ้าสีเขียวรายเดือน ส่วนต่อขยายที่หนึ่งและสอง มาจ่ายคืนให้กับบีทีเอสซี ในทุกวันที่ 20 ของเดือน โดย กทม. จะสนับสนุนส่วนต่างค่าจ้างเดินรถ เพื่อทำให้บริษัทกรุงเทพธนาคม และ กทม. ไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ย เบื้องต้น แต่ปรากฎว่าผ่านมาแล้ว 3 เดือน จากการตรวจสอบยังไม่มีการชำระเงินให้แก่เอกชนแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการวิสามัญฯ มองว่า การเร่งชำระหนี้ให้แก่เอกชนนั้น จะเป็นผลดีกับทางกทม.ไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ย 5.4 ล้านบาทต่อวัน และจะสามารถนำเงินเหล่านี้ไปพัฒนาในส่วนอื่น ๆ ได้ อีกทั้งจากการสอบถามทาง บริษัทกรุงเทพธนาคม หรือ เคที ถึงแนวทางการต่อสู้คดี ในส่วนของภาระหนี้ก้อนที่ 2 ที่อยู่ในกระบวนการฟ้องร้องว่ามีประเด็นหรือข้อมูลใหม่ หรือมีความแตกต่างจากการฟ้องร้องครั้งแรก เพื่อจะนำไปใช้ในการต่อสู้หรือไม่

“สก.นภาพล” จี้ “ชัชชาติ” เร่งเคลียร์หนี้รถไฟฟ้าสีเขียว เสียดายภาระดอกเบี้ยวันละ 5.4 ล้าน ควรใช้นำพัฒนากทม.

“สก.นภาพล” จี้ “ชัชชาติ” เร่งเคลียร์หนี้รถไฟฟ้าสีเขียว เสียดายภาระดอกเบี้ยวันละ 5.4 ล้าน ควรใช้นำพัฒนากทม.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เร่งระดมทีมกู้ชีพ–กู้ภัย พร้อมครัวสนาม ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเพชรบูรณ์–เหนือ แจกถุงยังชีพ–อาหารสัตว์ และเดินหน้าฟื้นฟูหลังน้ำลดแบบครบวงจร
“สุรินทร์” ย้ำยึดมติพรรค ปชป. โหวตนายกฯ คนที่ 32
จิตอาสาบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ สนับสนุนแนวพระราชดำริ
ด่วน "วันนอร์" สั่งสภาฯบรรจุวาระโหวตนายกฯคนที่ 32 แล้ว วันที่ 5 ก.ย.นี้
เพชรบุรี แถลงข่าวเตรียมจัดงาน“เทศกาลกินหอย ตกหมึก @ ชะอำ” ครั้งที่24 หาดชะอำ
เปิดศูนย์ฟื้นฟู ช่วยผู้ติดยา คืนคนดีสู่สังคม

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​