เปิดเหตุผล “สมศักดิ์” วีโต้มติแพทยสภา ชี้ลงโทษแรงเกิน อ้างจริยธรรม 3 หมอ มุ่งช่วยชีวิต วิจารณ์หนักเจตนาลงโทษ หวังตีวัวกระทบคราด “ทักษิณ”
ข่าวที่น่าสนใจ
12 มิถุนายน 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้เผยแพร่คำชี้แจงของตนเอง ต่อที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ที่จะมีการพิจารณามติลงโทษแพทย์ 3 ราย ที่เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ หลังจาก นายสมศักดิ์ ได้แจ้งความเห็นให้ยับยั้งมติลงโทษ แพทย์หญิง รวมทิพย์ สุภานันท์ เป็นแพทย์ผู้ทําหน้าที่ตรวจร่างกายผู้ต้องขังแรกรับในเรือนจํา ถูกลงโทษว่ากล่าวตักเตือน พลตำรวจโท โสภณรัชต์ สิงหจารุ พลตำรวจโท ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ เป็นเรื่องการให้ข้อมูลเอกสารทางการแพทย์ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ถูกลงโทษให้พักใบอนุญาต 3 เดือน และ 6 เดือน ตามลำดับ
ขณะที่คณะกรรมการแพทยสภา ได้ให้ นายสมศักดิ์ เข้าร่วมประชุมในวาระเรื่องประธานแจ้งที่ประชุมทราบ ช่วงเวลา 12.00-12.15 น. เป็นเวลา 15 นาที เพื่อให้สภานายกพิเศษแห่งแพทยสภา ได้ชี้แจงและแสดงความเห็นต่อคณะกรรมการแพทยสภา
โดยนายสมศักดิ์ ระบุว่า มีความคาดหวังว่ากรรมการทุกคนที่มาลงมติจะมิได้เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หากแต่เป็นผู้ที่สามารถคงไว้ได้ซึ่งความเป็นกลาง ส่วนความเห็น ยับยั้งมติลงโทษ มิได้เกิดจากความเห็นส่วนตัวหรือการวินิจฉัยอย่างผิวเผิน หากแต่เกิดจากการใคร่ครวญข้อเท็จจริงอย่างละเอียดรอบด้าน ขณะที่ในช่วงเวลานี้มีผู้คนจํานวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจะเชื่อว่าการลงโทษหมอสามคนนี้ เป็นการ “ตีวัวกระทบคราด” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับประเทศภายใต้กระบวนการยุติธรรม และเหลือโทษจําคุกเพียง 1 ปี
พร้อมเรียกร้องให้การประชุมวันนี้ คณะกรรมการแพทยสภาช่วยกันตัดสิน ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่ในฐานะกรรมการ เพียงอย่างเดียวซึ่งตนเองเชื่อเสมอว่าความเมตตาไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความยุติธรรมในรูปแบบที่สูงที่สุด
ปรากฏรายละเอียดดังต่อไปนี้
คําชี้แจงของสภานายกพิเศษ
ท่านนายกแพทยสภา ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์
ท่านกรรมการแพทยสภาทุกท่าน
อาศัยอํานาจ ตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ มีหน้าที่ โดยตรงในการพิจารณาให้ความเห็นต่อมติของแพทยสภา ซึ่ง ซึ่งถือเป็นกลไกสําคัญในการ ค้ําจุนจริยธรรมของวิชาชีพแพทย์ อันเป็นเสาหลักที่ประชาชนใช้ยึดโยงความเชื่อมั่นและไว้วางใจต่อการรักษาพยาบาลในสังคมไทย
จริยธรรมทางการแพทย์นั้น มิใช่เพียงข้อบังคับ หากแต่คือแก่นของ วิชาชีพที่สะท้อนความรับผิดชอบของแพทย์ต่อชีวิตและศักดิ์ศรีของผู้ป่วย โดยต้องตั้งอยู่ บนหลัก 4 ประการ คือ การเคารพเจตจํานงของผู้ป่วย การให้ประโยชน์สูงสุด การไม่ก่ออันตราย และการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม
ด้วยเหตุนี้ การให้ความเห็นต่อมติลงโทษแพทย์จึงต้องดําเนินการด้วยความ รอบคอบ ละเอียดอ่อน และยึดมั่นในความเป็นธรรมอย่างแท้จริง ไม่ใช่การเอาผิดเพื่อ ตอบต่อกระแส แต่ต้องเป็นการตัดสินที่ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง เจตนา และบริบทของการ ปฏิบัติงานอย่างฃอสัตย์สุจริต
ผมขอเรียนทุกท่านว่า ผมได้ใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ได้จากการ สอบสวนของคณะอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจ ซึ่งมีท่าน ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี เป็นประธาน โดยคณะอนุกรรมการชุดนี้ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบและ ทุ่มเท ใช้เวลาดําเนินการสอบสวนยาวนานถึง 5 เดือน 5 วัน
โดยผลการพิจารณาชั้นคณะอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจ ปรากฏดังนี้
1. นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข – มีความเห็นยกข้อกล่าวหา
2. พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ — เห็นควรลงโทษในระดับเบา โดยมีมติให้ “ว่ากล่าว ตักเตือน”
3. พล.ต.ท. นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ – มีความเห็นว่า “ควรภาคทัณฑ์”
4. พล.ต.ท. นพ.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ มีความเห็นชัดเจนว่า “ไม่มีความผิดทางจริยธรรม”
แม้ภายหลังจะปรากฏว่า เมื่อเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกลั่นกรอง และคณะกรรมการแพทยสภาในชั้นสุดท้าย มติที่ออกมา “กลับพลิกผัน” ไปจากผล การสอบสวน โดยมีการลงโทษที่สูงขึ้น ทั้งในรูปแบบของการพักใช้ใบอนุญาตประกอบ วิชาชีพเป็นระยะเวลาหลายเดือน ซึ่งเป็นการตีความที่แตกต่างอย่างมีนัยสําคัญ และยังไม่ ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงใหม่เพิ่มเติมที่ต่างจากชั้นสอบสวน
แต่สิ่งที่ผมให้ความสนใจเป็นพิเศษ และไม่อาจละเลยได้ก็คือ เหตุใด คณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่ จึงไม่เห็นชอบตามผลการพิจารณาของ คณะอนุกรรมการสอบสวนดังกล่าว
หากไม่มีพยานหลักฐานใหม่เพิ่มเติม หรือเหตุผลที่หนักแน่นเพียงพอ การเปลี่ยนแปลงมติอย่างมีนัยสําคัญในชั้นสุดท้ายเช่นนี้ ย่อมทําให้เกิดข้อสงสัยว่ามีแรงจูงใจอื่นใดที่อยู่นอกเหนือจากข้อเท็จจริงและหลักวิชาชีพมาประกอบในการตัดสินใจหรือไม่
ในระหว่างกระบวนการพิจารณา ผมได้พยายามขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การพิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมถึงสองครั้ง แต่ทางแพทยสภา กลับมีความเห็นว่า ได้ส่งเอกสารให้ “เพียงพอแล้ว” ซึ่งในมุมมองของผม การไม่เปิดเผย ข้อมูลสําคัญเช่นนี้ อาจเป็นผลเสียต่อการใช้ดุลยพินิจและการลงมติอย่างรอบด้าน ในวันนี้
การลงมติในครั้งนี้ ผมก็คาดหวังว่ากรรมการทุกคนที่มาลงมติ จะมิได้เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หากแต่เป็นผู้ที่สามารถคงไว้ได้ซึ่งความเป็นกลาง
ผมขอเน้นย้ําอีกครั้งว่าการพิจารณาเสนอให้ยับยั้งมติในครั้งนี้ มิได้เกิดจากความเห็นส่วนตัวหรือการวินิจฉัยอย่างผิวเผิน หากแต่เกิดจากการใคร่ครวญข้อเท็จจริงอย่างละเอียดรอบด้าน แต่เนื่องจากผมมีความเห็นแตกต่างจากที่ประชุมแพทยสภา จึงนํามาสู่การประชุมในวันนี้ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ร่วมกันพิจารณาอีกครั้งด้วยความ รอบคอบที่สุด
โดยผมขอชี้แจงเหตุผลการยับยั้งมติ ดังนี้
กรณี นพ.วัฒน์ชัยฯ (ผู้ถูกร้องที่ 1) ถูกกล่าวหาว่าให้ข้อมูลทางการแพทย์ ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงนั้น คณะกรรมการแพทยสภาได้วินิจฉัยโดยรอบคอบและมีมติยกข้อกล่าวหา
เมื่อพิจารณาร่วมกับเอกสารและข้อเท็จจริงทั้งหมด ผมเห็นว่า มติดังกล่าวสอดคล้องกับหลักนิติธรรม และเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย จึงเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการแพทยสภา
กรณี พญ.รวมทิพย์ฯ (ผู้ถูกร้องที่ 2) ถูกกล่าวหาว่าออกใบส่งตัวผู้ต้องขัง แรกรับไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ผู้ต้องขังถูกส่งไปรักษานอกเรือนจํา และถูกตีความว่าเป็นการไม่รักษามาตรฐานวิชาชีพเวชกรรม
อย่างไรก็ตาม การออกใบส่งตัวล่วงหน้าในขั้นตอนตรวจร่างกายผู้ต้องขัง แรกรับเป็นแนวปฏิบัติปกติในเรือนจํา เพราะเรือนจําไมใชโรงพยาบาล ไม่มีแพทย์ประจํา หรือแพทย์เฉพาะทางครบทุกสาขา และเป็นการเตรียมความพร้อมในกรณีที่ผู้ต้องขังมี ความจําเป็นต้องได้รับการรักษาเฉพาะทาง
ในกรณีนี้ แพทย์เพียงอนุญาตให้นําใบส่งตัวเดิมไปใช้ตามคําร้อง ของพยาบาลเวรในภาวะฉุกเฉิน โดยไม่ได้เป็นผู้มีอํานาจตัดสินใจส่งตัวผู้ต้องขัง ซึ่งเป็น อํานาจของผู้บัญชาการเรือนจํา
พฤติกรรมของ พญ.รวมทิพย์ฯ จึงอยู่ในขอบเขตของวิชาชีพแพทย์อย่าง เหมาะสม ไม่ปรากฏเจตนาทุจริต และไม่ควรถือเป็นความผิดทางจริยธรรม
กรณี หมอโสภณรัชต์ฯ (ผู้ถูกร้องที่ 3) ถูกกล่าวหาว่าให้ข้อมูลทางการแพทย์ ไม่ตรงกับความเป็นจริง จากการให้สัมภาษณ์นักข่าวถึงอาการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังใน โรงพยาบาลตํารวจ ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการสร้างความเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤติ
แต่ข้อเท็จจริงคือ หมอโสภณรัชต์ฯ ไม่ได้กล่าวว่าผู้ป่วย “วิกฤติ” แต่อย่าง ใด คําพูดที่ว่า “ความดันยังสูงอยู่” และ “ยังมีอาการน่าเป็นห่วง” เป็นการอธิบายสภาพ ผู้ป่วยตามเวลานั้นไม่ใช่ข้อมูลบิดเบือน และมิได้ขัดแย้งกับเวชระเบียน
ในฐานะผู้บริหารโรงพยาบาล ซึ่งมิใช่แพทย์เจ้าของไข้ การตอบคําถามนักข่าว ต่อหน้า โดยมิได้นัดหมาย ถือเป็นการให้ข้อมูลตามหน้าที่โดยสุจริต การตีความถ้อยคํา ดังกล่าวว่าเป็นความผิดจริยธรรมจึงไม่เป็นธรรม และไม่ควรใช้เป็นเหตุลงโทษทางวิชาชีพ
กรณี พล.ต.ท. นพ. ทวีศิลป์ฯ (ผู้ถูกร้องที่ 4) ถูกกล่าวหาว่าเขียนใบแสดง ความเห็นแพทย์ไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ผู้ต้องขังได้รับอนุญาตให้นอนพักรักษาตัวต่อใน โรงพยาบาล ซึ่งถูกตีความว่าให้ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง
เรื่องนี้ทีท่านลงโทษหมอทวีศิลป์เพราะว่ามีการลงความเห็นการรักษาแพทย์ที่ไม่ตรงกัน ความเห็นที่ไม่ตรงกันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในการใช้ดุลยพินิจของ แพทย์ ซึ่งข้อเท็จจริงจากการสอบสวน ความเห็นในใบแสดงความเห็นแพทย์ของหมอทวีศิลป์ฯ ไม่มีข้อความส่วนใดเป็นเท็จ แต่ข้อความที่ถูกลงโทษเกิดจากความเห็นแพทย์ที่มีความเห็นไม่ตรงกัน
ความเห็นของแพทย์ที่มีลักษณะดูแลแบบองค์รวม ไม่ได้มุ่งหมายเฉพาะโรคใดโรคหนึ่ง หากจะมีความแตกต่างกัน ก็ไม่ควรจะถือว่าความเห็นเหล่านั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
เรื่องนี้แม้แต่คณะอนุกรรมการสอบสวน ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี ก็ ยังมีการสรุปความเห็นมาก่อนแล้วว่า กรณีหมอทวีศิลป์ไม่ควรเป็นความผิด การวินิจฉัย เช่นนี้ก็รับฟังได้ มีเหตุผล
ท่านกรรมการแพทยสภาทุกท่าน การตัดสินว่าการกระทําใดละเมิดจริยธรรมหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริง เจตนา และบริบทโดยรอบ ไม่อาจใช้หลักเกณฑ์ตายตัว หากเราต้องการรักษาจริยธรรมวิชาชีพแพทย์ให้มั่นคงและเป็นธรรม ต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ ความเมตตา และความกล้าหาญที่จะตัดสินโดยปราศจากอคติ
ท่านทั้งหลายรู้สึกไหมว่า ในเวลานี้มีผู้คนจํานวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจะเชื่อ ว่าการลงโทษหมอสามคนนี้ เป็นการ “ตีวัวกระทบคราด”
ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับประเทศภายใต้กระบวนการยุติธรรม และเหลือโทษจําคุกเพียง 1 ปีเมื่อเดินเข้าเรือนจํา ท่านก็ได้รับการตรวจร่างกายเบื้องต้น ตามหลักเกณฑ์ที่ใช้กับผู้ต้องขังแรกรับทุกคน โดยมีเป้าหมายเพื่อประเมินสุขภาพและ ความจําเป็นในการรักษา ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับผู้ต้องขังรายอื่น
เพียงแค่ผู้ป่วยอย่างอดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ได้รับการส่งต่อไปยัง โรงพยาบาลที่มีศักยภาพรองรับการรักษาเฉพาะทางตามความจําเป็น กลับกลายเป็นเหตุ ให้แพทย์ 4 คนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาในห้วงเวลาดังกล่าว ต้องถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า ประพฤติผิดจริยธรรมทั้งที่กระทําไปด้วยความรับผิดชอบในวิชาชีพ เพื่อประโยชน์สูงสุด ของผู้ป่วย เท่านั้นหรือ
พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 33 บัญญัติให้การคุมขังใน สถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจํา หรือ House Arrest เป็นหนึ่งในวิธีการการคุมขัง ที่ใช้แนวคิด บนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน ซึ่งแสดงความเห็นถึงความจําเป็นในการใช้ทางเลือกอื่นที่ ไม่ใช่เรือนจํา เพื่อคุมขังผู้ที่ไม่ใช่ผู้ต้องขังอุจฉกรรจ์ อันเป็นนโยบายการลงโทษที่ก้าวหน้า และเป็นทิศทางที่สําคัญที่จะมีต่อไปในกระบวนการยุติธรรม
แต่หากมีการลงโทษหมอรักษาคนในกรณีนี้ จะมีส่วนสําคัญที่จะเป็น อุปสรรคต่อแนวคิดการบริหารงานราชทัณฑ์และกระบวนการยุติธรรมในภาพรวม ผู้ที่ได้รับ ผลกระทบไม่ใช่แค่แพทย์สามท่าน แต่คือทุกคนในสังคม
และผมเองไม่อยากเห็นวันที่เราคนใดคนหนึ่งจําเป็นจะต้องถูกส่งตัวไปรักษา หรือคุมขังนอกเรือนจําหรืออยากจะใช้ House Arrest ที่ผมได้กล่าวถึง … แต่มันไม่มีเพราะเรื่องที่เราทํากันในวันนี้
กรรมการหลายท่านในวันนี้ อาจมีความเชื่อในใจว่า ผมมาอธิบายเพื่อ ปกป้องอดีตนายกรัฐมนตรี แต่วันนี้ ผมมาในฐานะ “คนนอก” คนหนึ่ง ที่มาปกป้องเพื่อน ร่วมวิชาชีพของท่าน พี่น้องของท่าน และลูกหลานของท่าน และผมอยากฝากคําถาม 3- 4 ข้อ ให้กรรมการทุกท่านค่อย ๆ ช่วยกันคิดนะครับ
1. การตัดสินใจของเราในวันนี้ จะสร้างบรรทัดฐานอะไรให้กับวงการแพทย์ในอนาคต? เราจะทําให้แพทย์เก่งๆ อีกหลายคนไม่กล้าตัดสินใจในภาวะวิกฤตที่ต้องเลือกระหว่างความเสี่ยงเพื่อช่วยชีวิตคนไข้ให้ดีที่สุด กับความปลอดภัยของตัวเอง เพราะต้องกลัวถูกลงโทษอย่างรุนแรงหรือไม่? เรากําลังสร้าง วัฒนธรรมแห่ง “ความกลัว” แทนที่จะเป็นวัฒนธรรมแห่ง “ความตั้งใจสูงสุดในการดูแลผู้ป่วยหรือเปล่าครับ?”
2. ในฐานะกรรมการผู้ทรงเกียรติ หากในอีก 5-10 ปีข้างหน้า มีบริบททางสังคม เปลี่ยนไป และสังคมมองย้อนกลับมาว่าการตัดสินใจของเราในวันนี้คือ “ความ ผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์” ของวงการแพทย์ เป็นการลงโทษที่เกิดจากอคติใน ใจ ไม่ใช่เพื่อจรรยาบรรณอย่างแท้จริง…. เราจะอธิบายต่ออนุชนรุ่นหลัง และต่อมโน ธรรมของตัวเองว่าอย่างไร ว่าเราได้ทําหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้วจริงหรือไม่?”
3. ผมขอถามความรู้สึกจากใจจริงของทุกท่าน…. มีแม้แต่เพียง “เสี้ยวหนึ่ง” ในใจของ ท่านหรือไม่ ที่รู้สึกว่า “อาจมีบางอย่างไม่ถูกต้อง” ในกระบวนการนี้? มีความลังเล แม้เพียงเล็กน้อยหรือไม่ว่า โทษที่เรากําลังจะมอบให้ มัน “รุนแรงเกินไป” เมื่อเทียบ กับเจตนาและข้อเท็จจริงทั้งหมด? หากมีความรู้สึกนั้นแม้เพียงนิดเดียว มันไม่ได้ กําลังบอกเราหรอกหรือ ว่าเราควรหยุดทบทวนอย่างจริงจัง ก่อนที่จะทําลายชีวิต ของเพื่อนร่วมวิชาชีพคนหนึ่งไปตลอดกาล?”
4. สุดท้ายนี้ ผมอยากขอให้ทุกท่านลองจินตนาการว่า ถ้าเหล่าแพทย์ที่ท่านกําลังจะ ลงโทษนั้นไม่ใช่คนอื่น แต่เป็น ลูกหลานของเราหรือเป็นตัวเราเองในวันที่อ่อน ประสบการณ์ที่สุด…. เราจะยังคงยืนยันในบทลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้หรือไม่? เราจะ ต้องการคณะกรรมการที่พิจารณาจากข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านและ “ให้ความ เมตตา” หรือต้องการคณะกรรมการที่ทําหน้าที่ตัดสินอย่าง “เย็นชา” โดยมีปัจจัย ภายนอกชี้นํา? มาตรฐานความยุติธรรมที่เรามอบให้เขาในวันนี้ คือมาตรฐานเดียวกับที่เราอยากจะได้รับหรือไม่?
ในการประชุมวันนี้ ขอให้พวกเราช่วยกันตัดสิน ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่ในฐานะกรรมการ เพียงอย่างเดียว
ผมเชื่อเสมอว่าความเมตตาไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความยุติธรรมในรูปแบบที่สูงที่สุด ขอบพระคุณครับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข่าวล่าสุด
เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น