แม้จะเหลืออายุการทำงานอีกปีเศษกว่าจะครบวาระการทำหน้าที่นายกฯสมัย 2 ราวกลางเดือนมิ.ย.2566 แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเมฆหมอกพายุร้ายที่เคยโหมกระหน่ำซัดใส่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ หลายเรื่องหลายประเด็นก็ค่อยๆคลี่คลายลงไป ด้านหนึ่งสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19 ที่เคยเป็นปัญหาใหญ่ของพล.อ.ประยุทธ์ของรัฐบาล ตอนนี้ก็เริ่มเข้าสู่ขาลงการติดเชื้อรายใหม่ของคนไข้เริ่มเห็นต่ำกว่าหลักหมื่น คงเหลือ 9,866 คน ป่วยหนักเหลือ 3,017 คน ใส่เครื่องช่วยหายใจเหลือ 720 คน เสียชีวิต 102 คน ฉีดวัคซีนไปแล้ว 56,656, 247 ล้านโดส ( ข้อมูล 6 ต.ค.2564 ) เริ่มมีการฉีดวัคซีนให้นักเรียนนักศึกษาเพื่อเตรียมตัวเปิดโรงเรียนเปิดมหาวิทยาลัย หลายพื้นที่เริ่มเปิดเมืองรับการท่องเที่ยว
อีกด้านประเด็นร้อนทางการเมืองเริ่มคลายตัวลง ความขัดแย้งระหว่างพล.อ.ประยุทธ์กับร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ 2 แกนนำพรรคพลังประชารัฐดูเหมือนจะนิ่งสงบลและจบกันไปได้ระดับหนึ่งแล้ว ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง ขณะที่ความขัดแย้งกับพี่ใหญ่ 3 ป. อย่างพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็เข้าทำนองลิ้นกับฟันต้องมีกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา แต่ก็เป็นไปในลักษณะโกรธง่ายหายเร็วไม่ได้เจ็บแค้นฝั่งหุ่นถึงขั้นเอาเป็นเอาตายแต่อย่างใด เพราะฝ่ายพล.อ.ประยุทธ์ก็ยาหอมว่า “ไม่มีใครจะมาแยก 3 ป.ออกจากันได้ ” ส่วนลุงป้อมก็หยอดกับ “มีแต่ความตายเท่านั้นที่จะทำให้เราจากกัน” หวานหยาดเยิ้มหยดย้อยยิ่งกว่าซีรี่ย์เกาหลี
หนำซ้ำล่าสุดพล.อ.ประวิตรยังพาเหรดหอบแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ออกมาชูพล.อ.ประยุทธ์ประกาศหนุนน้องรักตู่เป็นนายกฯสมัยที่ 3 ในการเลือกตั้งครั้งหน้าสยบรอยร้าวกันแบบเห็นๆ พร้อมยืนยันพรรคพลังประชารัฐเตรียมเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตชิงนายกฯสมัยหน้าแบบแบเบอร์ ส่วนปัญหาความขัดแย้งเกาเหล่าระหว่างพล.อ.ประยุทธ์กับร.อ.ธรรมนัส พล.อ.ประวิตรยืนกรานว่าจบแล้ว ” ไม่มีอะไรก็เข้าใจกันดี มั่นใจว่าพรรคพลังประชารัฐจะไม่เกิดความแตกแยก ร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้วทุกอย่าง” นอกจากจะยืนกรานเสนอพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯอีกสมัย พล.อ.ประวิตรยังยืงกรานไม่น้อยใจประเด็นที่เป็นหัวหน้าพรรคแต่กลับไม่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกฯ เพราะรู้สังขารตัวเองดี ว่าอายุมากและเดินไม่ค่อยไหว แถมตนเองก็ไม่ได้มักใหญ่ใฝ่สูงแต่อย่างใด “ก็หัวหน้าพรรคมันเดินไม่…. จะไปน้อยใจอะไร ผมเป็นคนเสนอชื่อเขาเอง” ลุงป้องยืนยันไม่มีประเด็นดราม่าระหว่างกัน
ล่าสุดบรรยากาศในพรรคพลังประชารัฐดูจะกลับมาคึกคักเป็นพิเศษ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร ก็ได้เซ็นคำสั่งแต่งตั้งสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กับ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายการเมือง มานั่งเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มองมุมการเมืองก็เรียกว่าให้เกียรติเป็นการยกฐานะก๊วนสามมิตร 4 ว. ได้มีหน้ามีตาในพรรคพลังประชารัฐบ้าง พร้อมๆกับเปิดทางให้คนใกล้ชิดสร.1 จากตึกไทยคู่ฟ้าเข้ามาเป็นหูเป็นตาให้กับนายกฯภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่งานนี้มือกฎหมายแก้ปัญหาสารพัดอย่างให้นายกฯ ทั้งเรื่องบินไทย เรื่องปฏิรูปกฎหมาย ปรับปรุงรัฐธรรมนูญ ที่เป็นคนวงในของพล.อ.ประยุทธ์ก็ออกมาการันตีไม่มีความบาดหมางระหว่าง “พี่ป้อมกับน้องตู่” ตามที่มีการนำเสนอข่าวกันแต่อย่างใด “ท่านไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเลย เป็นเรื่องที่คนอื่นมองมากกว่า ของจริงไม่มีอะไร แต่คงไปห้ามอะไรไม่ได้ อยู่ที่คนมอง เมื่อถึงเวลาไม่มีอะไรที่ขัดแย้งจะไปบอกว่าขัดแย้งได้อย่างไร เราไปบอกว่าเขาไม่มีอะไรกัน คนไม่เชื่อก็ไม่มีประโยชน์ ก็ไปห้ามข่าวลือไม่ได้ เป็นเรื่องที่ต้องดูเอง ทุกคนทำงานเพื่อประโยชน์ชาติบ้านเมือง มีปัญหากันไม่มีประโยชน์” อดีตรมว.ยุติธรรมยืนยัน
ฝากฝั่งพล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ได้ออกมาพูดอะไรเป็นชิ้นเป็นอันกรณีถูกพรรคพลังประชารัฐใส่พานเสนอชื่อเป็นนายกฯอีกรอบ แต่ให้โทรโข่งรัฐบาลอย่างธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกฯออกมารับลูกขอบคุณไมตรีจิตรที่มีมาให้แทน “นายกฯ ชี้แจงว่า ก็ยินดี ขอบคุณที่พรรคพลังประชารัฐให้ความไว้วางใจ ซึ่งขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะคิดอย่างไรกับการเลือกตั้งครั้งหน้า” ยามนี้ดูเหมือนเมฆหมอกต่างๆเริ่มหายไป ด้านพล.อ.ประยุทธ์ก็พยายามถอดสลักทุกปัญหาปลดชนวนอุปสรรคทุกอย่างของรัฐบาล ล่าสุดก็เซ็นคำสั่ง คืน 4 กรม ในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกอบด้วย กรมพัฒนาที่ดิน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร กลับไปให้จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ดูแลเหมือนเดิม เพื่อลดความบาดหมางขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสปิดห้องคุยเคลียร์ใจกันจบครบทุกประเด็นเพื่อไม่ให้มีปัญหาคาใจระหว่างกัน เพราะอนาคตยังมีเรื่องที่ต้องร่วมแรงร่วมใจทำงานด้วยกันอีกมาก คืนดีกันแล้วไปต่อน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ยิ่งตอนนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาน้ำท่วมใหญ่ อาจไม่หนักเท่ามหาอุทกภัยในปีพ.ศ.2554 แต่หลายจุดก็อ่วมอรทัยหนักหน่วงสุดในรอบหลายปี เพราะฉะนั้นปัญหาเฉพาะหน้าตอนนี้ของพล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลจึงอยู่ที่เรื่องแก้ไขปัญหาน้ำท่วมไม่ใช่เรื่องการเมือง ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นพล.อ.ประยุทธ์เร่งลงพื้นที่ตรวจน้ำท่วมแบบวันเว้นวัน ก่อนหน้านี้ก็ไปชัยภูมิ สุโขทัย วันนี้ 7 ต.ค. ก็ไปนครศรีธรรมราช แถมลุงป้อมก็จัดส.ส. 14 คนก๊วนภาคใต้มารอรับพล.อ.ประยุทธ์จัดฉากจูบปากจูงมือไปต่อกันเสร็จสรรพ ฝ่ายตัวเองก็หลีกทางนายกฯไปลงพื้นที่จ.สระแก้วในวันพรุ่งนี้แทน จัดหมายเหลื่อมกันวางคิวไม่ใช้ชนกันจะได้ไม่ถูกจับไปแซวเรื่องวัดพลังงัดข้อกันเองอีก ยามนี้ดูเหมือนพล.อ.ประยุทธ์พยายามเคลียร์รันเวย์เพื่อเดินหน้าบริหารประเทศต่อ หลังผ่านเรื่องยุ่งๆวุ่นๆสารพัด กรณีจูบปากพล.อ.ประวิตร เซ็นโอน 4 กรมกลับคืนดีพรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดว่าพล.อ.ประยุทธ์เตรียมพายเรือแป๊ะต่อขออยู่ครบเทอม
ยามนี้ประเด็นการเมืองที่เหลือให้ลุ้นกันอยู่ก็มีแค่ไม่กี่เรื่อง หนึ่งคือการปรับครม. จะเป็นปรับเล็กหรือปรับใหญ่จะดึงใครมาเป็นรัฐมนตรี ตรงนี้ก็สุดแล้วแต่พล.อ.ประยุทธ์กับพล.อ.ประวิตรจะตกลงปลงใจกันว่าจะเอาอย่างไร สองคือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญระบบเลือกตั้งใหม่ บัตร 2 ใบ ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งร่างแก้ไขฯ มาให้แล้วตั้งแต่ 27 ก.ย. ครบ 5 วันตามรัฐธรรมนูญ ม.145 ไปเมื่อวันที่ 1 ต.ค. เบ็ดเสร็จตอนนี้อยู่ในมือพล.อ.ประยุทธ์มาแล้ว 4 วัน บวกลบคูณหารนับเวลาตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญต้องนำขึ้นทูลเกล้าภายใน 20 วัน เพราะฉะนั้นคงเหลือเวลาอีก 16 วัน ก่อนครบกำหนด 29 ต.ค.ศกนี้ ต้องเดาใจว่าพล.อ.ประยุทธ์จะเอาอย่างไร นำขึ้นทูลเกล้าฯตามกระบวนการรัฐธรรมนูญ ม. 145 จากนั้นค่อยไปลุ้นพระบรมราชวินิฉัยจะโปรดเกล้าฯ พระราชทานคืนมาภายใน 90 วันหรือไม่ หรือจะเลือกหักดิบผู้แทนขัดแย้งกับพรรคร่วมรัฐบาลด้วยการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ม.148 (2) ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ หากเห็นว่าร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็คงได้รู้กัน
//////////////////
