เปิดคำพิพากษา ศาลปกครองสูงสุด แก้พิพากษาเดิม ชี้ “ยิ่งลักษณ์” ต้องชดใช้ 10,028 ล้านบาท ในฐานะนายกฯ ละเลย เพิกเฉย ทำนโยบายรับจำนำข้าวก่อให้เกิดความสียหาย

เปิดคำพิพากษา ศาลปกครองสูงสุด แก้พิพากษาเดิม ชี้ "ยิ่งลักษณ์" ต้องชดใช้ 10,028 ล้านบาท ในฐานะนายกฯ ละเลย เพิกเฉย ทำนโยบายรับจำนำข้าวก่อให้เกิดความสียหาย

เปิดคำพิพากษา ศาลปกครองสูงสุด แก้พิพากษาเดิม ชี้ “ยิ่งลักษณ์” ต้องชดใช้ 10,028 ล้านบาท ในฐานะนายกฯ ละเลย เพิกเฉย ทำนโยบายรับจำนำข้าวก่อให้เกิดความสียหาย

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุด โดยไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด และตุลาการเจ้าของสำนวนพร้อมองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีที่กระทรวงการคลังยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ที่สั่งเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 135/2559 ลงวันที่ 13 ต.ค. 2559 ที่ให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน กรณีปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการ เป็นเงิน 35,717,273,028 บาท

ในคดีที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ อนุสรณ์ อมรฉัตร สามี ร่วมกันยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงการคลัง สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงคลัง กรมบังคับคดี อธิบดีกรมบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีแพ่ง กรุงเทพมหานคร กรณีที่ร่วมกันมีคำสั่งดังกล่าวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สำหรับคดีนี้ศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลังดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่ากระทรวงการคลังยอมรับว่าไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่ายิ่งลักษณ์เป็นผู้กระทำให้เกิดความเสียหายโดยตรง และขั้นตอนการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบสวนความรับผิดทางละเมิดก็ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด

ล่าสุด ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาคดีฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโครงการรับจำนำข้าวเปลือก และเพิกถอนคำสั่งยึด อายัดทรัพย์สิน รวมทั้งคำสั่งขายทอดตลาด และคำสั่งปฏิเสธคำขอกันส่วนในฐานะเจ้าของร่วม

โดยมีรายละเอียดปรากฏตามเอกสารข่าวศาลปกครองที่แนบมาพร้อมนี้

 

1.ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกแยกพฤติการณ์การกระทำของ นางสาวยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือ กขช. ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่ง การดำเนินการในส่วนของนโยบายการรับจำนำข้าวเปลือกที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา ซึ่งไม่มีส่วนที่ต้องรับผิดทางละเมิดต่อกระทรวงการคลัง ,ส่วนที่สอง การดำเนินการในการปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายรับจำนำข้าวเปลือก ซึ่งเป็นการกระทำทางปกครอง ย่อมอยู่ในฐานะเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539

  • ศาลปกครองสูงสุดโดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด เห็นว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55 ,นาปรัง ปีการผลิต 2555 ,นาปี ปีการผลิต 2555/56และนาปี ปีการผลิต 2556/57 โดยมีขั้นตอนการดำเนินการ เป็น 4 ขั้นตอน ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และยังเป็นประธาน กขช. มีอำนาจหน้าที่ติดตามกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย มาตรการ และโครงการที่อนุมัติในส่วนที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสินค้าข้าว การที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และ ป.ป.ช.มีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบการดำเนินการตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในฤดูกาลผลิตที่ผ่านมาต่อนางสาวยิ่งลักษณ์สอดคล้องต้องกัน โดยสรุปว่าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีปัญหาเกิดขึ้น ก่อให้เกิดความสูญเสียงบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนมาก มีการทุจริตเชิงนโยบายเกิดขึ้นในหลายขั้นตอน ขอให้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อเสนอแนะและข้อสังเกตต่อไปด้วย แต่นายกรัฐมนตรีมิได้ดำเนินการใดๆ ทั้งที่ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาลแล้ว
  • นอกจากนี้ระหว่างการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปีการผลิต 2555 สส.ได้ตั้งกระทู้ถามนางสาวยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2555 และเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนางสาวยิ่งลักษณ์และคณะเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2555 การที่นางสาวยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเป็นประธาน กขช. ได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการตามนโยบายรับจำนำข้าวเปลือกตามนโยบายของรัฐบาล ว่ามีปัญหาการทุจริตทุกขั้นตอน แต่มิได้สั่งการให้คณะอนุกรรมการที่นางสาวยิ่งลักษณ์แต่งตั้งขึ้น ตรวจสอบการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกว่ามีปัญหาการทุจริตหรือไม่ และรายงานให้นางสาวยิ่งลักษณ์สั่งการ จึงเป็นกรณีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ไม่คำนึงถึงข้อทักท้วง และข้อเสนอขององค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินการตามโครงการต่างๆ ของรัฐ กลับปล่อยให้การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555/56 และปีการผลิต 2556/57 ดำเนินการต่อไป จึงเป็นกรณีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ปล่อยปละละเลย ไม่ใช้อำนาจหน้าที่ของตนเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาการทุจริต จึงเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการกระทำการทุจริตได้โดยง่าย ถือได้ว่านางสาวยิ่งลักษณ์กระทำละเมิดต่อกระทรวงการคลัง ให้ได้รับความเสียหายตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ส่วนกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่กระทรวงการคลังเพียงใดนั้น ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยดังนี้
ความเสียหายเฉพาะในขั้นตอนการระบายข้าว ด้วยวิธีขายแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี นางสาวยิ่งลักษณ์ทราบปัญหาการทุจริตแล้ว แต่ไม่ได้ติดตามกำกับดูแล โดยเฉพาะในการติดตามดูแลหรือตรวจสอบการทุจริตตามสัญญาซื้อขายแบบจีทูจี ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ในฐานะประธาน กขช. เข้าร่วมประชุม กขช.แค่เพียงครั้งเดียว จากพฤติการณ์ดังกล่าว จึงเห็นได้ว่านางสาวยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรี และในฐานะประธาน กขช. ยังคงละเว้น เพิกเฉย ละเลยไม่ติดตาม หรือสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงาน ผลการดำเนินงานตรวจสอบ ส่งผลให้มีปัญหาการระบายข้าวไม่ทัน ต้องเก็บรักษาข้าวในคลังเป็นเวลานานจนข้าวเสื่อมคุณภาพและสูญเสีย อีกทั้งไม่คำนึงถึงข้อทักท้วงและข้อเสนอของหน่วยงาน ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ

 

 

พฤติการณ์แห่งการกระทำของนางสาวยิ่งลักษณ์ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาท เลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้กระทรวงการคลังได้รับความเสียหาย นางสาวยิ่งลักษณ์จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่กระทรวงการคลัง ตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 8 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 โดยเมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวแบบจีทูจี ตามสัญญาซื้อขาย จำนวน 4 ฉบับ มีความเสียหายเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 20,057,723,761.66 บาท ความเสียหายจากการระบายข้าวด้วยวิธีขายแบบจีทูจี เกิดจากการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหลายคน และเจ้าหน้าที่แต่ละคนต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น จึงสมควรกำหนดสัดส่วนความรับผิดของนางสาวยิ่งลักษณ์ ตามมาตรา 8 วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 โดยให้รับผิดในอัตราร้อยละ 50 ของความเสียหายจากการระบายข้าวแบบจีทูจี ตามสัญญาทั้ง 4 ฉบับ จึงคิดเป็นเงินที่นางสาวยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดจำนวน 10,028,861,880.83 บาท

 

 

คำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1351/2559 ลงวันที่13 ตุลาคม 2559 เฉพาะส่วนที่เรียกให้นางสาวยิ่งลักษณ์ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจำนวน 10,028,861,880.83 บาท เป็นคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การยึด อายัดทรัพย์สินของนางสาวยิ่งลักษณ์ เพื่อดำเนินการขายทอดตลาดในส่วนที่เกินกว่าจำนวน 10,028,861,880.83 บาท จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน และเมื่อทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่นางสาวยิ่งลักษณ์ได้มาภายหลังจากการที่นางสาวยิ่งลักษณ์และนายอนุสรณ์ อมรฉัตร สามี อยู่กินฉันสามีภริยา สามีนางสาวยิ่งลักษณ์จึงย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่มีส่วนในทรัพย์สินเท่ากันกับนางสาวยิ่งลักษณ์ แม้จะไม่ปรากฏชื่อนายอนุสรณ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ดังกล่าวก็ตาม ดังนั้นการที่กระทรวงการคลัง โดยปลัดกระทรวงการคลัง ปฏิเสธการขอกันส่วนในฐานะเจ้าของรวมซึ่งทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัดมาจากนางสาวยิ่งลักษณ์ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการกระทำละเมิดต่อนายอนุสรณ์

 

ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นดังนี้
1.ให้เพิกถอนคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เฉพาะส่วนที่ให้นางสาวยิ่งลักษณ์รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจำนวน 10,028,861,880.83 บาท ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป

 

 

2.ให้เพิกถอนคำสั่ง ประกาศ และการดำเนินการใดๆ ของกรมบังคับคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 9 ที่มีคำสั่งประกาศหรือการดำเนินการใดๆ ในการยึดอายัดทรัพย์สินของนางสาวยิ่งลักษณ์ เพื่อดำเนินการขายทอดตลาด อันเป็นการบังคับตามมาตรการทางปกครอง ที่สืบเนื่องจากคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 เรื่อง ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เฉพาะในส่วนที่เกินกว่าจำนวน 10,028,861,880.83 บาท ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป

3.ให้ปลัดกระทรวงการคลัง และกระทรวงการคลัง ดำเนินการสั่งการเกี่ยวกับการขอกันส่วนทรัพย์สินที่ ถกยึดเพื่อนำมาขายทอดตลาดตามสิทธิของนายอนุสรณ์ จำนวน 37 รายการ และแจ้งให้กรมบังคับคดีจัดทำบัญชีรับ-จ่าย เพื่อกันส่วนให้นายอนุสรณ์ในฐานะเจ้าของรวม รวมทั้งแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าว ให้แก่นายอนุสรณ์ทราบ ทั้งนี้ให้ดำเนินการภายใน 60 วัน นับจากวันที่ศาลมีคำพิพากษา

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"รมช.ทรงศักดิ์" นำทีมกรมที่ดิน จับมือกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เดินหน้าลงนาม MOU แลกเปลี่ยนข้อมูล แก้ปัญหาคนต่างด้าวถือครองที่ดินผ่านนอมินี
ตร.แถลงรวบแก๊งคอลเซนเตอร์ 5 ราย ลวงเหยื่อลงทุนทำภารกิจปลอม พร้อมยึดเงินสด 3 ล้านบาท
ผู้นำคิมเดือดหลังพิธีปล่อยเรือรบเกาหลีเหนือผิดพลาด
ปภ. เตือน 52 จว. ฝนตกหนัก เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม 23–27 พ.ค.นี้
“หมอวรงค์” เชื่อใครทุจริตต้องติดคุก หลังศาลตัดสินชดใช้หมื่นล้านคดีจำนำข้าว ลั่นจบด้วยชัยชนะของปชช.
ชายแดนระอุ เปิดภาพโดรน KNLA ใช้โจมตีทางอากาศ ทหารเมียนมา ฐานเจดีย์ขาว ตรึงกำลังหวังยึดให้ได้
ชดเชยเต็มที่ “ทรู” ประกาศเยียวยาลูกค้า “รายเดือน-เติมเงิน” ให้รอรับ SMS ยืนยัน ย้ำระบบเริ่มใช้ได้แล้ว
“อดีตบิ๊กข่าวกรอง” เชื่อคนผิดต้องรับกรรม ปมศาลตัดสินชดใช้หมื่นล้าน ลั่นรออีกนิด 13 มิ.ย.นี้ มีข่าวดีแน่นอน
เหลือเพียง 1 ปี 4 เดือน  อุดรธานีจัดพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เตรียมงานพืชสวนโลกครั้งประวัติศาสตร์
"นฤมล" ย้ำเข้มงวดตรวจล้งทุเรียนปลอดสาร BY2 เดินหน้านโยบาย Low Carbon เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น