AP และ AFP รายงานว่าทรัมป์ได้โพสต์ผ่าน “ทรู๊ธ” เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (อาทิตย์ที่ 11 พค.) ยกย่องการเจรจาพูดคุยระหว่างสหรัฐซึ่งนำโดยสก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และนายเหอ ลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีนซึ่งเป็นผู้แทนฝ่ายจีนเมื่อวานนี้ (เสาร์ที่ 10 พค.) ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก และการพูดคุยมีบรรยากาศที่เป็นมิตรและสร้างสรร และถือเป็นการ “reset” ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน หรือการปรับเปลี่ยนการทำการค้าใหม่หมดระหว่างสองประเทศ ทรัมป์กล่าวว่าเขาต้องการจะเห็นจีนเปิดประเทศรับธุรกิจอเมริกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งจีนและสหรัฐ และก่อนเริ่มการเจรจาเมื่อวานนี้ ทรัมป์ได้เสนอจะลดกำแพงภาษีจีนลงเหลือ 80%
การพูดคุยทางการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่อาวุโสของจีนและสหรัฐ สองยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลกเพื่อลดความข้ดแย้งทางการค้าเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากทรัมป์ประกาศรีดภาษีศูลกากรจีน 145% ทำให้จีนประกาศตอบโต้ด้วยการสั่งเก็บภาษีสินค้าสหรัฐ 124%
ผู้แทนจากสองประเทศมีกำหนดพูดคุยหารือเป็นเวลา 2 วัน คือเสาร์และอาทิตย์ที่ 10-11 พค.)ภายในบ้านพักของเอกอัครราชทูตสวิสประจำยูเอ็นในนครเจนีวา โดยการเจรจาเป็นลักษณะปิดประตูคุย ทุกอย่างเก็บเป็นความลับ ซึ่งหลังจากเจรจานานถึง 10 ชั่วโมงเมื่อวานนี้ (เสาร์ที่ 10 พค.) ก็ยังไม่มีการประกาศความคืบหน้าของผลการเจรจา และวันนี้ทั้งสองฝ่ายก็จะหารือต่อเป็นวันที่สอง โดยเบสเซนต์กล่าวว่าเป้าหมายหลักของการเจรจาถือการลดความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน ไม่ใช่การข้อตกลงสำคัญอะไร ขณะที่จีนยืนยันว่าเป้าหมายหลักคือสหรัฐจะต้องลดกำแพงภาษีลง
ขณะที่ซินหัวรายงานเมื่อค่ำวานนี้ว่าการพูดคุยเจรจาถือเป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง และว่าสหรัฐเป็นฝ่ายขอเปิดเจรจา ซึ่งจีนตอบรับท่ามกลางความคาดหวังของนานาชาติที่ต้องการให้สองประเทศพูดคุยหารือกัน รวมทั้งเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของจีนเอง พร้อมย้ำว่าจีนจะยังคงย่้ำจุดยืนหลักคือการรักษาระเบียบการค้าและเศรษฐกิจโลกให้ดำเนินต่อไป
ด้านผู้เชี่ยวชาญที่สถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศปีเตอร์สันที่กรุงวอชิงตันชี้ว่าแค่การพูดคุยถือเป็นข่าวดีสำหรับธุรกิจและตลาดการเงินโลก แต่เชื่อว่าการกลับมามีความสัมพันธ์ทางการค้าแบบปกติอย่างเมื่อก่อนมีความเป็นไปได้ยาก พร้อมชี้ว่าจีนมีความเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสงครามการค้าได้ดีกว่าสหรัฐ โดยการส่งออกของจีนเดือนที่แล้วยังคงเพิ่มขึ้นแม้จะถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีครั้งใหญ่ เนื่องจากจีนได้ปรับเปลี่ยนเป้าหมายการส่งออกไปยังประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทนสหรัฐ