“สสรท.-สรส.”ยกเหตุสูญเสียใหญ่ แผ่นดินไหว ตึกถล่ม เสนอรัฐบาล ดำเนินการ 10 ข้อ เนื่องในวันความปลอดภัยการทำงานแห่งชาติ
ข่าวที่น่าสนใจ
สมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) สมาพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(CILT) และสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงการณ์ เนื่องในวันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ ระบุว่า 10 พฤษภาคม 2536 เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดเกิดขึ้น เมื่อไฟไหม้ที่โรงงานตุ๊กตาของ บริษัท เคเดอร์อินดัสเตรียล ไทยแลนด์ จำกัด ย่านนครปฐม เป็นเหตุให้มีคนงานเสียชีวิต 188 ราย และพิการ บาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นขบวนการแรงงานได้เรียกร้อง ผลักดันให้รัฐบาลและสังคมได้ตระหนัก เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงาน จนคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2550 กำหนดให้วันที่ 10 พฤษภาคม ของทุกปีเป็น “วันความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ” 14 ปีต่อมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2550 กำหนดให้ “แรงงานปลอดภัยและสุขภาพอนามัยดี (Safety Thailand) เป็นวาระแห่งชาติ” กำหนดให้มีแผนแม่บทด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานแห่งชาติ มีการตราพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2555 รวมทั้งการให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 187 ว่าด้วยกรอบเชิงส่งเสริมการดำเนินงานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2549
แม้จะมีนโยบาย มีกฎหมาย และรับรองอนุสัญญา ซึ่งเป็นกติกาทางสากลแล้วก็ตามแต่
ในความเป็นจริงจากวันนั้นจนถึงปัจจุบัน ผ่านไปกว่า 30 ปี ชีวิตคนงานก็ยังต้องเผชิญกับความ
ไม่ปลอดภัยในการทำงาน สภาพแวดล้อมในการทำงาน ความเสี่ยงจากเครื่องจักรอันตราย และท่าทางการทำงานที่ซ้ำซาก งานหนักเกินกำลัง ที่ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น อาการปวดหลัง จากการต้องยกของหนักเป็นเวลานานทั้งวัน ทำให้ป่วยสะสมมีอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก และข้อ มีหลายรายที่เป็นโรคโครงสร้างกระดูก เออร์โกโนมิกส์ (Ergonomics) และการทรงตัว โรคเกี่ยวกับตา หู คอ จมูก เช่น ตาแห้ง ตาระคายเคืองเรื้อรัง ตาแพ้แสง เจ็บคอบ่อยหรือเรื้อรัง และยังมีอาการคัดจมูกน้ำ มูกไหลแบบที่เรียกว่าภูมิแพ้ ปัญหาเกี่ยวกับการได้ยิน การเจ็บป่วย และโรคจากการทำงานยังคงเป็นอัตราสูงอย่างน่ากังวล
นับตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นมา สถานการณ์ เรื่อง ความปลอดภัยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอุบัติเหตุ จากการทำงานในการก่อสร้างเครน นั่งร้านถล่มทับคนงานเสียชีวิต บาดเจ็บ โดยเฉพาะการก่อสร้างทางด่วนบนถนนพระราม 2 คือ ความเลวร้าย ความตายที่เกิดขึ้นซ้ำซากกระบวนการแก้ไขปัญหาแบบขอไปที คือ สิ่งที่สังคมพบเห็นแล้วเลือนหายไปในเวลาอันสั้น แล้วก็เกิดเหตุระลอกใหม่ ซ้ำแล้วซ้ำอีก เหตุการณ์ไฟไหม้รายวันในโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่าง ๆ เกิดการระเบิด สารเคมีรั่วกระจาย ในบางเหตุการณ์ร้ายแรงถึงขนาดต้องอพยพผู้คน ประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่ คนงานต้องเสียชีวิต บาดเจ็บ ประชาชน ชุมชนเดือดร้อน อยู่กันอย่างแบบผวา ในอีกด้านหนึ่งปรากฏการณ์อากาศพิษ จากการปล่อยสารพิษของโรงงานอุตสาหกรรมทุก ๆ วัน ฝุ่น PM ๒.๕ จากยวดยานพาหนะ ไฟป่า การเผาเศษวัสดุทั้งในประเทศ และฝุ่นควันข้ามแดน ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงต่อสุขภาพของประชาชน คือ ความเป็นจริงที่บ่งชี้และย้ำเติมว่า
“ชีวิตคนงานตกอยู่ในความเสี่ยง ยังไร้มาตรฐานความปลอดภัย” ผู้ใช้แรงงาน ก็ยังไม่สามารถเข้าถึง การวินิจฉัยโรค กับแพทย์เชี่ยวชาญทางด้านอาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ในคลินิกโรคจากการทำงานได้ ยังมีคนงานที่เจ็บป่วยและอุบัติเหตุจากการทำงาน ยังมีคนงานไม่รู้อีกจำนวนเท่าไหร่..ในแต่ละปี ที่เจ็บป่วย ได้รับอันตรายจากการทำงาน “ซึ่งเป็นตัวเลขที่หายไป” นโยบาย Zero accident กับการปกปิดข้อมูลที่เป็นจริง คือ ปัญหาหนึ่งที่ขบวนการแรงงานเห็นว่าควรยกเลิก แล้วมาทำเรื่องส่งเสริมความปลอดภัยฯ อย่างแท้จริง เพื่อเป็นการป้องกัน
อีกกรณีหนึ่ง ที่สะเทือนใจคนไทยและทั่วโลก คือ การเกิดเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนมีนาคมทำให้อาคารต่างสั่นไหวเกิดความเสียหาย ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่มทับคนงานทั้งแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติ ทำให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และสูญหายซึ่งอยู่ระหว่างการค้นหาเป็นจำนวนมากจากวันที่ตึกถล่มจนถึงวันนี้ยังไม่สามารถค้นหาได้ครบทั้งหมด และจากการสืบค้นมีความเป็นไปได้สูงว่า สาเหตุตึกถล่มเกิดจากการทุจริตในกระบวนการก่อสร้าง ช่างเป็นเรื่องที่น่าอดสูยิ่งนักและอับอายไปทั่วทั้งโลก ในขณะที่ระบบการเตือนภัยพิบัติไม่มี แม้ประเทศไทยรัฐบาลป่าวประกาศว่าเราอยู่ในยุค ๔.๐ กำลังก้าวสู่ยุค ๕.๐ มาตรการ การแจ้งเตือนภัยยังไม่สามารถทำได้ แม้แต่นายกรัฐมนตรีคุณแพทองธาร ชินวัตรออกมาใหสัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า “ตนเองก็ไม่ทราบ ไม่ได้รับการแจ้งเตือน” แล้วประชาชน
จะคาดหวังอะไร ยังไม่นับรวมถึงการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ ในแต่ละปีนับ 10,000 รายวัน ความปลอดภัยในการทำงานแห่งชาติ ปี 2568 ขบวนการแรงงาน โดยสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) สมาพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (CILT) และสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วยจากการทำงานและสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย จึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาล ดังนี้
1. รัฐต้องรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ 155 ว่าด้วยความปลอดภัยในการทำงาน และอาชีวอนามัย ค.ศ. 1981 (พ.ศ.2524) และฉบับที่ 161 ว่าด้วยการบริการอาชีวอนามัย ค.ศ. 1981 (พ.ศ.2528) และให้ตรากฎหมายรองรับให้ครอบคลุมและสอดคล้องกับข้อตกลงของนานาประเทศ และขอให้รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินงาน
เรื่อง การบริการอาชีวอนามัยอย่างเต็มที่ จริงจัง
2. ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวกับสารเคมี มลพิษ สิ่งแวดล้อม โรคมะเร็งจากการทำงานต่าง ๆ และให้ตั้งโรงพยาบาล คลินิกอาชีวเวชศาสตร์ในย่านนิคมอุตสาหกรรมเพื่อดำเนินการ ป้องกัน รักษาให้เพียงพอ
3. รัฐบาลต้องสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติ อากาศสะอาดเพื่อสุขภาพแบบบูรณาการ (ฉบับประชาชน) พ.ศ. ….
4. ทำให้สังคมไทยปราศจากแร่ใยหิน โดยเฉพาะการรื้อถอน ต้องมีมาตรการกำจัดฝุ่นแร่
ใยหินที่ดี มีมาตรฐาน
5. แก้ไขพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2561 ให้คนงานเข้าถึงสิทธิ์
ง่าย สะดวก รวดเร็ว
6. บังคับใช้กฎหมายความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างเข้มข้น เพื่อให้เกิดมาตรฐานความปลอดภัยที่ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตาม เร่งตรวจสอบ โรงงาน สถานประกอบการทุกแห่ง ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และมีมาตรการเอาผิดและลงโทษต่อผู้ประกอบการอย่างรุนแรงกรณีที่ก่อให้เกิดอันตราย ความไม่ปลอดภัยต่อคนงาน ประชาชน ชุมชน และจัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการความปลอดภัย
เพื่อเป็นกลไกในสถานประกอบการทุกแห่งเพื่อบริหารจัดการ เรื่อง มาตรฐานความปลอดภัย
อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พร้อมทั้งให้องค์กรแรงงาน สหภาพแรงงาน
มีส่วนร่วม
7. การเข้าถึงบริการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งการเข้าถึงบริการ
มี 3 ด้าน คือ การป้องกัน การส่งเสริมความปลอดภัย การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ และการวินิจฉัยโรค รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณ และคลินิก บุคลากร อุปกรณ์ทางการแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อมให้เพียงพอ
8. การออกกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานเกี่ยวกับโรคเออร์โกโนมิกส์ โรคโครงสร้างกระดูก โดยเฉพาะต้องบังคับใช้อย่างจริงจัง เคร่งครัด เพื่อป้องกันปัญหาการใช้แรงงานที่เกินกำลัง ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายคุ้มครอง และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น กรณีนายจ้างไม่ส่งเรื่องคนงานประสบอุบัติเหตุและเจ็บป่วยจากการทำงานเข้าใช้สิทธิเงินทดแทน
9. เมื่อคนงานเจ็บป่วยเข้ารับการรักษา การสิ้นสุดการรักษาพยาบาลโรคที่เกี่ยวข้องจากการทำงานให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของแพทย์ที่รักษาไม่ใช่งบประมาณตามที่กำหนด
10. รัฐบาลต้องเร่งสร้างมาตรการ กลไก เครื่องมือ อุปกรณ์ในการแก้ไขปัญหากรณีการเกิดเหตุภัยพิบัติต่าง ๆ ตั้งแต่การแจ้งเตือน ป้องกัน รักษา เยียวยา ฟื้นฟู อย่างเพียงพอในคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยไม่เลือกปฏิบัติ
สุขภาพดี คือ ชีวิตที่มั่นคง ความปลอดภัย คือ หัวใจของการทำงาน
Good Health is Stablelile Securty is Heart of Working
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข่าวล่าสุด
เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น