ข้อมูลซึ่งตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ เดอะแลนเซต (The Lancet) เกิดขึ้นในขณะที่หน่วยงานด้านสุขภาพของสหรัฐ กำลังพิจารณาเกี่ยวกับความจำเป็นในการให้ยากระตุ้นเข็ม 3 โดยข้อมูลเปิดเผยว่า นักวิจัยจาก ไฟเซอร์ และ ไกเซอร์ เพอร์มาเนนเต (Kaiser Permanente) ได้ศึกษาข้อมูลผู้ป่วยจากสมาชิกประกันสุขภาพของไกเซอร์ จำนวน 3.4 ล้านคนในพื้นที่แคลิฟอร์เนียใต้ระหว่างเดือนธันวาคม 2020 เมื่อวัคซีนเริ่มฉีดครั้งแรก จนถึงเดือนสิงหาคมปี 2021 การวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่าประสิทธิผลของวัคซีนในการป้องกัน”การรักษา”ในโรงพยาบาลและ”การเสียชีวิต”ยังคงสูงที่ 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งการวิเคราะห์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าวัคซีนไฟเซอร์มีประสิทธิภาพในการรับมือแม้จะเป็นสายพันธุ์เดลต้า
อย่างไรก็ดี ประสิทธิผลของวัคซีน ไฟเซอร์ บิออนเทค ในการป้องกัน”การติดเชื้อ”ไวรัสโคโรน่า ลดลงเฉลี่ยจาก 88 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 47 เปอร์เซ็นต์ หลังจากการให้ยาครั้งที่ 2 ผ่านไปแล้ว 6 เดือน โดยสำหรับสายพันธุ์เดลต้านั้นจะลดลงจาก 93 เปอร์เซ็นต์ในเดือนแรก และเมื่อ 4 เดือนผ่านไป จะลดลงเหลือ 53 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่สายพันธุ์อื่นๆก็ลดลงจาก 97 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 67 เปอร์เซ็นต์ นักวิจัยได้สรุปว่าการที่ประสิทธิผลลดลงนั้น เกิดจากการลดลงของประสิทธิภาพตัวยามากกว่าการะบาดที่มากขึ้นของสายพันธุ์
ขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ อนุญาตให้ใช้วัคซีนไฟเซอร์ บิออนเทค ในการกระตุ้นเข็ม 3 ให้กับ ผู้สูงอายุและผู้ที่อยู่ในสภาวะมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ ด้านนักวิทยาศาสตร์เรียกร้องให้มีการหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าควรจะฉีดวัคซีนให้ประชากรทั่วไปหรือไม่