AP และ AFP รายงานว่าชาวอเมริกันจำนวนมากออกมาชุมนุมประท้วงในทุกรัฐทั่วประเทศเมื่อวานนี้ (เสาร์ที่ 19 เมย.) เพื่อแสดงพลังต่อต้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยการประท้วงครั้งนี้ใช้ชื่อว่า “ 50501” (ห้าศูนย์ห้าศูนย์หนึ่ง) หมายถึงการประท้วง 50 แห่ง, 50 รัฐ ภายใต้ 1 เป้าหมาย ซึ่งการชุมนุมประท้วงมีขึ้นเป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม โดยครั้งแรกมีขึ้นเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วภายใต้ชื่อว่า “Hands Off” หรือที่แปลว่า “เอามือออกไป”
การชุมนุมครั้งนี้มีขึ้นตามเมืองใหญ่ๆจากฝั่งตะวันออกเรื่อยไปจนถึงฝั่งตะวันตก รวมทั้งที่หน้าทำเนียบขาว, นครนิวยอร์ก และที่โชว์รูมรถยนต์เทสล่าของอิลอน มัสก์ ที่ปรึกษาของทรัมป์ สำหรับประเด็นการชุมนุมประท้วงมีหลากหลายแทบทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องเศรษฐกิจ, การละเมิดสิทธิพลเรือน, ละเมิดรัฐธรรมนูญ, การเนรเทศผุ้ลี้ภัย, การปลดพนักงานรัฐหลายแสนคน, การปิดหน่วยงานรัฐบาล, การกดดันมหาวิทยาลัยและสื่อมวลชนและการสนับสนุนอิสราเอลโจมตีกาซา ท่ามกลางกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงของชาวอเมริกันที่เริ่มมองว่านโยบายของทรัมป์เป็นภัยคุกคามประชาธิปไตย
การประท้วงครั้งนี้มีขึ้นในครบรอบรอบ 250 ปีการประกาศสงครามแยกตัวเป็นเอกราชจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษในวันที่ 19 เมษายน 2318 สะท้อนให้เห็นว่าชาวอเมริกันมองว่าอเมริกากำลังตกอยู่ใต้ภัยคุกคามของทรัมป์ โดยกลุ่มผู้ประท้วงบางคนชูป้ายมีข้อความว่า “ไม่เอาเผด็จการ ไม่เอาคิง”
ขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงที่นครไมอามี่ รัฐฟลอริด้าซึ่งเป็นบ้านของทรัมป์ชูป้ายเรียกทรัมป์ว่าเป็น “พวกเผด็จการนาซี” ผู้ประท้วงที่ซานฟรานซิสโกได้เขียนตัวอักษรบนชายหาดเป็นข้อความว่า “ถอดถอนและปลดออก” (impeach & remove) ผู้ประท้วงบางคนได้ปักธงชาติสหรัฐในลักษณะกลับหัวกลับหางซึ่งมีความหมายถึงความทุกข์ใจ ขณะที่ผุ้ประท้วงที่เมืองแองเคอเรจ รัฐอลาสก้าได้พากันเขียนร่ายยาวถึงสาเหตุที่ทำให้ออกมาชุมนุมประท้วง ขณะที่มีคนนึงชูป้ายมีข้อความว่า “ไม่สามารถหาป้ายที่มีขนาดใหญ่พอที่จะเขียนเหตุผลของการออกมาประท้วงได้ครบทุกข้อ”
กลุ่มผู้จัดได้พยายามรวบรวมผู้ประท้วงให้ได้หลายล้านคน และวางแผนจัดประท้วงราว 400 แห่ง แต่ปรากฎว่าการชุมนุมครั้งนี้มีคนมาร่วมน้อยกว่าครั้งแรกเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วเมื่อวันที่ 5 เมษายน
ขณะที่โพลทุกสำนักต่างชี้ว่าคะแนนนิยมของทรัมป์ร่วงอย่างต่อเนื่อง โดยแกลลัพโพลคะแนนนิยมของทรัมป์ในช่วง 3 เดือนแรกอยู่ที่ 45% น้อยกว่าประธานาธิบดีทุกคนในช่วงไตรมาสแรก โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจนั้น โพลของรอยเตอร์ส/อิพซอสชี้ว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของทรัมป์ร่วงจาก 42% ลงเหลือ 37%