AFP และรอยเตอร์สรายงานว่าประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเดินทางถึงกัมพูชา หลังเสร็จสิ้นการเยือนเวียดนามและมาเลเซีย โดยทันทีที่เดินทางถึงสนามบินกรุงพนมเปญก็ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี พร้อมพิธีต้อนรับจากกองทัพกัมพูชา จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังพระราชวังเพื่อพบหารือกับสมเด็จฮุนเซน อดีตผู้นำกัมพูชาและนายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ตในช่วงบ่าย
สื่อทางการกัมพูชาได้เผยบทสัมภาษณ์ของสีจิ้นผิงที่กล่าวว่าจีนสนับสนุนกัมพูชาให้พัฒนาในโครงการที่เหมาะสมกับประเทศ รวมทั้งช่วยปกป้องอธิปไตย, เอกราชและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา สียังเรียกร้องให้กัมพูชาจับมือกับจีนต่อต้านอิทธิพลจากภายนอกที่คอยแทรกแซงกิจการภายใน, หว่านเมล็ดแห่งความแยกแยกและบ่อนทำลายความสัมพันธ์ของสองประเทศ
จีนถือเป็นประเทศพันธมิตรทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดและลงทุนในกัมพูชามากที่สุด มากกว่า 1 ใน 3 ของเงินลงทุนต่างชาติจำนวน 1 หมื่น 1 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ตัวเลขของไอเอ็มเอฟ) ซึ่งรวมทั้งโครงการก่อสร้างถนน, สนามบินและคลองฟูนันเตโช ซึ่งโฆษกกระทรวงการคลังกัมพูชาคาดว่าจะมีความร่วมมือระหว่างจีนกับกัมพูชาเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนคลองฟูนันเตโชความยาว 180 กิโลเมตร อภิมหาโครงการซึ่งอยุ่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งเชื่อมต่อจากแม่น้ำโขงที่กรุงพนมเปญไปออกทะเลอ่าวไทยนั้น จีนจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
ด้านฮุน มาเน็ตกล่าวว่าจีนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกัมพูชา และปีนี้ก็ครบรอบ 67 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัมพูชาและจีน
ทั้งนี้สียังเรียกร้องกัมพูชาให้ปฏิเสธ “ลัทธิเจ้าโลกและนโยบายกีดกันทางการค้า” ของสหรัฐ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกเก็บภาษีตอบโต้กัมพูชาสูงถึง 49% ก่อนที่จะชลอออกไป 90 วัน ซึ่งฮุน มาเน็ตได้ส่งจดหมายไปถึงทำเนียบขาวขอเจรจาต่อรอง โดยกัมพูชาจะยอมลดกำแพงภาษีสินค้าสหรัฐจำนวน 19 ประเภทลง
กัมพูชาถือเป็นประเทศสุดท้ายในทริปเยือน 3 ประเทศอาเซียนของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงระหว่าง 14-18 เมษายน รวมทั้่งเวียดนามและมาเลเซีย ซึ่งเป็นการเยือนหลังจากทรัมป์ประกาศภาษีตอบโต้กว่า 70 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งกลุ่มประเทศอาเซียน