ศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในหัวข้อ “โควิด-19 ภูมิต้านทานหลังฉีดวัคซีน AstraZeneca 1 เข็ม” โดยศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ระบุว่า ทางศูนย์ได้ศึกษาภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีน แอสตราเซเนกาในคนไทย หลังฉีดเข็มแรกเป็นระยะเวลา 1 เดือน จำนวน 61 คน เป็นการรายงานเบื้องต้น ซึ่งภูมิต้านทานที่ตรวจพบมีการตอบสนอง ตรวจวัดภูมิต้านทานได้ถึงร้อยละ 96.7 เมื่อเปรียบเทียบกับการตรวจวัดภูมิต้านทานในผู้ป่วยที่หายจากการติดเชื้อ เป็นระยะเวลา 4- 8 สัปดาห์ ตรวจพบได้ร้อยละ 92.4 นอกจากนี้พบว่าระดับภูมิต้านทานที่พบ เพศหญิงจะให้ระดับภูมิต้านทานที่สูงกว่าเพศชาย ส่วนผู้อายุที่น้อยกว่า 60 ปีจะมีระดับภูมิต้านทานที่สูงกว่าผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ซึ่งกำลังรอวิเคราะห์ข้อมูลที่มีจำนวนมากขึ้นกว่านี้ และจะตรวจเลือดหาภูมิต้านทานก่อนฉีดเข็มที่ 2 อีก 1 ครั้ง และหลังเข็ม 2 แล้ว 1 เดือน ภูมิต้านทานน่าจะมีระดับสูงมากและอยู่นาน ดังนั้นจากข้อมูลดังกล่าวพอสรุปได้ว่า แม้จะฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาเพียงเข็มเดียว ระดับภูมิต้านทานที่ตรวจวัดได้ก็เป็นที่น่าพอใจ
ศาสตราจารย์นายแพทย์ยง เปิดเผยด้วยว่า มีอยู่ 1 ราย ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคเข็มแรกแล้วเกิดอาการแพ้ จึงฉีดเข็มที่ 2 ใน 3 อาทิตย์ต่อมาด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกา และจากการตรวจเลือด 1 เดือนหลังฉีดวัคซีน พบระดับภูมิต้านทานสูงถึง 241 u/ml อย่างไรก็ตามยังไม่มีการศึกษาการฉีดวัคซีนเปลี่ยนชนิดกัน ซึ่งในกรณีที่เกิดเหตุการฉีดวัคซีนต่างชนิดกัน ขอความกรุณาให้ติดต่อตน เพื่อขอตรวจภูมิต้านทานเก็บเป็นข้อมูลและรวมถึงอาการข้างเคียงที่อยากทราบมาก เนื่องจากการเปลี่ยนชนิดของวัคซีนเป็นเรื่องที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง
ศาสตราจารย์นายแพทย์ยง ชี้ว่าการปูพรมฉีดเข็มเดียวไปก่อนให้ได้ประชากรมากที่สุด และด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกาจะได้ประโยชน์สูงสุด แล้วตามด้วยกระตุ้นรวมทั้งฉีดรายใหม่เพิ่มขึ้นด้วย อีก 10 ถึง 12 สัปดาห์ต่อมา หรือนานกว่านั้น ก็จะได้เป้าหมายอย่างรวดเร็ว และถ้ามีวัคซีนชนิดอื่นมาเสริมด้วยแล้ว จะทำให้การให้วัคซีนกับประชาชนหมู่มากประสบผลสำเร็จเร็วยิ่งขึ้น