“นภาพล” แฉเบื้องหลังสก.กทม.พลิกถอนชื่อ ถกชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้า BTS งวด 2 ชี้ต้องยึดพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ห่วงดอกเบี้ยเป็นภาระหนัก

"นภาพล" แฉเบื้องหลังสก.กทม.พลิกถอนชื่อ ถกชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้า BTS งวด 2 ชี้ต้องยึดพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ห่วงดอกเบี้ยเป็นภาระหนัก

เมื่อวันนี้ (14 มี.ค.) นายนภาพล จีระกุล สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตบางกอกน้อย ในฐานะประธานคณะกรรมการวิสามัญเพื่อศึกษาปัญหาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เปิดเผยกับสำนักข่าว TOPNEWS ถึงความคืบหน้าการพิจารณาชำระหนี้บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ในเครือบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ว่า หลังจากที่กรุงเทพมหานครได้ ชำระค่าจ้างเดินรถก้อนแรกให้กับบีทีเอสตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ทางคณะกรรมการวิสามัญฯ จึงได้มีการหารือถึงการชำระเงินค่าจ้างเดินรถในส่วนที่มีการฟ้องร้องคดีครั้งที่ 2 วงเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท และได้พิจารณาแล้วว่า ควรให้กทม.ดำเนินการตามระเบียบกทม.เพื่อชำระค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) คดีฟ้องร้องครั้งที่ 2 วงเงินประมาณ 1.2 ล้านบาท รวมถึงชำระค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงในส่วนที่เหลือ

 

 

คณะกรรมการวิสามัญฯ ได้มีความเห็นว่าฟ้องร้องครั้งที่ 2 ดังกล่าว มีหลักฐานข้อมูลที่เหมือนกับการฟ้องร้องครั้งแรกที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลางให้กทม. และ KT ชำระค่าจ้างเดินรถและงาน O&M รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2562 ถึงพฤษภาคม 2564 และส่วนต่อขยายที่ 2 ระหว่างเดือนเมษายน 2560-พฤษภาคม 2564 รวม 1.2 หมื่นล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยภายใน 180 วัน แก่ BTSC ดังนั้นเมื่อไม่มีรายละเอียดที่แตกต่างกันระหว่างการฟ้องร้องครั้งที่ 1 และ 2 จึงเชื่อว่าศาลจะมีคำพิพากษาที่ไม่แตกต่างกัน จึงมองว่า กทม.ควรเร่งดำเนินการจ่ายเงินให้กับเอกชน เพื่อไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ย

“การฟ้องร้องครั้งแรก กทม.ได้ชำระแก่ BTS ไปแล้ว พอมาดูครั้งที่ 2 เป็นสัญญาเดียวกัน ไม่มีอะไรแตกต่างจากครั้งแรกเลย ถ้าเราไม่มีประเด็นอื่นจะนำไปสู้ในศาล ก็คงไม่ชนะอยู่แล้ว ขณะที่ดอกเบี้ยเดินรายวัน ถ้ารวมการฟ้องร้องครั้งที่ 2 กับยอดหนี้อื่น ๆ ที่ทางกทม.ยังค้างอยู่กับ BTS ประมาณกว่า 5 ล้านบาทต่อวัน 1 เดือนดอกเบี้ยอยู่ที่ 170 ล้านบาท ถ้าจบได้เร็วไม่ยืดเยื้อเราก็อยากจบมากกว่า แต่ก็ต้องเจรจากับ BTS ด้วยว่าถ้าเราขอจบเร็ว พอจะลดส่วนไหนให้เราได้บ้างหรือไม่” นายนภาพล

 

 

 

นายนภาพล กล่าวว่า คณะกรรมการวิสามัญฯ ได้ทำการสรุปรายงานการประชุม และได้ยื่นต่อประธานสภากทม.เพื่อขอเปิดการประชุมสภากทม. สมัยวิสามัญ ไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยมีคณะกรรมการลงนามในคำร้องครบตามจำนวนทั้ง สก พรรคเพื่อไทย สก.พรรคประชาธิปัตย์ สก ไทยสร้างไทย ฯลฯ เพื่อให้มีการเปิดสภากทม. ซึ่งตามข้อบังคับการประชุม ประธานสภากทม. จะต้องเปิดประชุมภายใน 15 วัน และดำเนินการตามขั้นตอนการพิจารณาของสภากทม.แล้วเสร็จได้ภายในเดือนมีนาคมนี้ จากนั้นผู้ว่าฯ กทม.จะลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อชำระเงินแก่ BTSC ได้ภายเดือนเม.ย. โดยเบื้องต้นประเมินว่าน่าจะใช้เงินจากเงินสะสมจ่ายขาดของกทม.ที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณกว่า 30,000 ล้านบาท มาชำระหนี้ในการฟ้องร้องครั้งที่ 2 แต่ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ว่าฯ กทม. ด้วยว่าจะใช้เงินจากส่วนใดบ้าง

 

นายนภาพล กล่าวว่า หลังจากที่ตนได้ยื่นขอเปิดการประชุมสภากทม. สมัยวิสามัญ ตามขั้นตอนไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมาและจะต้องมีการเปิดประชุมฯเมื่อวันพุธที่ผ่านมา แต่ตนไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ประธานสภา กทม โทรศัพท์หาตนให้ไปถอนคำร้อง ซึ่งตนได้สอบถามถึงเหตุผลการถอนคำร้องดังกล่าว เพราะเชื่อว่า หากสภา กทม.ดำเนินการเร็ว กทม. ก็จะไม่เสียหายมากนัก แต่ประธานสภากทม ระบุว่า ทางพรรคการเมืองยังไม่ได้นำเรื่องนี้เข้าพิจารณา และอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ ตนมองว่า หากตนไม่รายงานเรื่องนี้ต่อสภากทม.จะเกิดปัญหา เพราะผู้ว่า กทม. กำลังรอสภากทม.ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงมีหนังสือมาให้ตนไปถอนคำร้อง และจะรายงานต่อสภาฯ เรื่องนี้ เพื่อให้ผู้ว่าฯ ตัดสินใจต่อไป

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

“ผมไม่ทราบว่าเหตุใด สก.บางพรรคจึงถอนชื่อออก การถอนได้ให้เจ้าหน้าที่มาล่ารายชื่อกรรมการที่เซ็นต์ ซึ่งตนได้ถามว่า เมื่อลงชื่อไปแล้วเพื่อเปิดประชุมฯและส่งเรื่องไปยังประธานสภากทม.มีการถอนรายชื่อออกได้ด้วยหรือ ซึ่งความจริงไม่น่าจะถอนได้ เพราะไม่ใช่ญัติติปกติที่เป็นคำร้อง ซึ่งประธานสภาฯ ได้ตอบกลับมาว่าสามารถถอนได้ จึงทำให้ไม่สามารถเปิดประชุมสภาฯกทม.ได้ ทำให้ต้องนำเรื่องยื่นเข้าสู่การประชุมสามัญปกติที่เปิดในเดือน เม.ย.แทน ทำให้ต้องจ่ายหนี้ล่าช้า จากเดิมที่คาดว่าจะจ่ายได้เดือน เม.ย. เป็นเดือน พ.ค. และต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก 170 ล้านบาท

 

 

นายนภาพล กล่าวว่า คำร้องของตนได้ถูกตีตก เนื่องจากคำร้องของตนมีผู้ลงนามไม่ครบตามระเบียบซึ่งในการทำงาน สภา กทม. จะต้องเห็นประโยชน์ของกรุงเทพมหานคร โดยทางพรรคไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยว ซึ่งตนมองว่าตรงจุดนี้ไม่เกี่ยวกับทางพรรคเพราะทางพรรคไม่ได้ร่วมรับผิดกับกทม. ความเสียหายและเรื่องที่เกิดขึ้น สภากทม.จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยนำภาษีของชาวบ้านไปชำระดอกเบี้ย และควรดำเนินการให้เกิดความเสียหายให้น้อยที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับการฟ้องร้องครั้งที่ 2 นั้น BTSC ได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้กทม.และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) ชำระหนี้ O&M รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 (ช่วงสะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่-บางหว้า และช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง) และส่วนต่อขยายที่ 2 (ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ระหว่างเดือนมิถุนายน 2564 ถึงเดือนตุลาคม 2565 มูลค่ารวม 1.2 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"สันติสุข" เทียบเจ็บ "ฮุน เซน" เหมือนคนคลั่งยา จับสมาชิกครอบครัวเป็นตัวประกัน ปลุกระดมทะเลาะไทย พาคนในชาติเดือดร้อนทั่วหน้า
วธ.เตรียมจัดใหญ่งานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย กลางใจกรุงเทพฯ มางานเดียวเหมือนได้เที่ยวทั่วไทย
เพื่อไทยกร้าวสุด "สส.อีสาน" เล่นใหญ่ เสนอกลางวงประชุมพรรค ลั่นถึงเวลาทวง "มหาดไทย" คืน
กลาโหมกัมพูชากล่าวหาไทยละเมิด MOU 2543
สถานทูตในอิหร่านเตือนคนไทยออกจากเตหะราน
ครม. เห็นชอบแต่งตั้ง "เกษร" เป็นผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย
อิสราเอลขู่คาเมเนอีระวังมีชะตากรรมเหมือนซัดดัม
ศน. ประกาศผลประกวดบรรยายธรรมระดับประเทศ 24 เยาวชนคนเก่ง รับโล่พระราชทาน "กรมสมเด็จพระเทพฯ"
“ไพบูลย์” ย้ำพปชร.ไม่ร่วมรัฐบาล “นายกฯอิ๊งค์” หาก “ภูมิใจไทย” ถอนตัวจากพรรคร่วม
สร.รฟท. ลงพื้นที่อีสาน ให้กำลังใจทหาร "ตาเมือนธม" คารวะทำหน้าที่ ปกป้องอธิปไตยแผ่นดิน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น