โดยพนักงานสอบสวน สอบจนพบเครือข่ายเจ้าของเว็บพนันและพบเส้นทางการเงินเกี่ยวกับข้าราชการตำรวจหลายนาย รวมถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล จนศาลมีคำสั่งออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ วันที่ 2 เม.ย. 2567 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. มีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช อดีตรอง ผบ.ตร. สมัยนั้นเป็นคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ตรวจสอบพบความผิดเข้าข่ายดำเนินการวินัยร้ายแรง ก่อนเกษียณราชการ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ มอบ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช. เป็นประธานสอบสวนวินัยร้ายแรง มีความเห็นเสนอ ผบ.ตร. ก่อนมอบให้คณะกรรมการพิจารณาเพื่อเสนอแนะการลงโทษที่มี พล.ต.อ.ไกรบุญ เป็นประธานประชุมจนได้ข้อสรุปดังกล่าวข้างต้น ซึ่งจะต้องมีการสรุปความเห็นเสนอ ผบ.ตร. เพื่อลงนามคำสั่งต่อไป

ด้านพล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า หากคณะกรรมการพิจารณาโทษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีมติ ไล่ออก บิ๊กโจ๊ก จริงตามกระแสข่าว และเรื่องถูกส่งมายังผบ.ตร. แล้วผบ.ตร.มีคำสั่งยืนตามความเห็นดังกล่าว ก็จะต้องมีการรายงานผลให้ก.ตร. ทราบเพื่อมีความเห็นโดยก.ตร.จะต้องมีการทวนสอบทวนคำสั่งดังกล่าว โดยมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาสอบสวน อีกครั้งภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด หากมีความเห็นต่าง บิ๊กโจ๊กก็สามารถกลับเข้ารับราชการได้อีกครั้ง แต่หากมีความเห็นไปในทางเดียวกัน บิ๊กโจ๊ก ก็สามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่ง กับคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.)ได้ ภายใน 30 วัน คณะกรรมการฯ ก็มีระยะเวลาในการพิจารณาอีก 120 วัน ขยายได้อีก 60วัน รวม 240 วัน หรือประมาณ 8 เดือน และถ้าคำอุทธรณ์ ฟังขึ้น และก.พ.ค.ตร.มีความเห็น เป็นคุณกับบิ๊กโจ๊ก ก็ต้องให้กลับเข้ารับราชการทันที ภายใน 30 วัน ซึ่ง ผบ.ตร.ก็ต้องดำเนินการตามนั้น

แต่ถ้าผลออกมาไม่เป็นคุณ กับบิ๊กโจ๊ก คือ ยืนตามคำสั่ง คณะกรรมการพิจารณาโทษ ให้ไล่ออก บิ๊กโจ๊ก ก็ยังสามารถยื่นฟ้องศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 90 วัน โดยคำสั่งให่ออกจากราชการจะสิ้นสุดต่อเมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ซึ่งน่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 1-2 ปี จากนี้ไป