ด้วยเหตุที่การเลือกตั้งท้องถิ่นเหลือเวลาอีกไม่นาน ภายหลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไฟเขียวให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ปักธงไว้ในวันอาทิตย์ที่ 28 พ.ย. 2564 เตรียมพร้อมเปิดสมัครรับเลือกตั้ง 11-15 ต.ค.ศกนี้ หลังจากที่อดอยากปากแห้งมานานถูกแช่ช่องฟีดมาหลายปี ล่าสุดบรรดาหัวคะแนนนักการเมืองท้องถิ่นก็เตรียมกลับมาลืมตาอ้าปากคึกคักกันอีกครั้ง
ล่าสุดวานนี้ (30 ก.ย.) “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จึงนัดหมายเรียกประชุมหัวหน้าภาคทั้ง 9 ภาคของพรรค เพื่อหารือและเตรียมวางยุทธศาสตร์เลือกตั้งท้องถิ่น นัดประชุมกันที่เซฟเฮ้าส์ ณ มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ภายใน ร.1 รอ.เหมือนเช่นเคย โดยมีแกนนำพรรคและหัวหน้าภาคทั้งหมดมาประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน รวมถึงแกนนำคนใกล้ชิดอย่าง “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานยุทธศาสตร์พรรค “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค “อ.แหม่ม” นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค เข้าร่วมประชุมด้วยอย่างพร้อมหน้า โดยบรรยากาศก็เต็มไปด้วยความชื่นมื่นเป็นกันเอง
หลักใหญ่ใจความที่หารือกันวานนี้ พล.อ.ประวิตรยืนกรานยังทำการเมืองไหวยังเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐต่อไปในการเลือกตั้งสมัยหน้า ที่หากครบเทอม 4 ปีบริหารประเทศของรัฐบาลในต้นปี 2566 ถึงตอนนั้นพล.อ.ประวิตรจะมีอายุ 78 ปีบริบูรณ์ แต่ลุงป้อมประกาศคาห้องประชุมป่ารอยต่อ “กูยังไหว ใจยังสู้” และขอไปต่อทางการเมืองอีกยก ที่บรรดาแกนนำทุกคนก็ชื่นใจ เพราะหากไม่มีพล.อ.ประวิตรเป็นหัวเรือใหญ่มีหวังพรรคพลังประชารัฐแตกยับต่างคนต่างไปเป็นแน่ แต่ไฮไลต์สำคัญวานนี้ไม่ได้อยู่ที่ลุงป้อมเป็นหัวหน้าพรรคต่อ แต่อยู่ที่ฉันทามติของแกนนำพรรคทุกมุ้งทุกสายทุกขั้ว ตกผลึกเห็นตรงกันในการชูพล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตชิงนายกฯอีกรอบ แม้ก่อนหน้านี้จะทะเลาะกันเอาเป็นเอาตาย แถมเลขาธิการพรรคกับเหรัญญิกพรรคดันไปก่อเรื่องงามไส้รับงานคนแดนไกลล็อบบี้พรรคเล็กคว่ำนายกฯ จนเป็นข่าวใหญ่โตคึกโครมถึงขั้นพล.อ.ประยุทธ์ต้องลงดาบฟันร.อ.ธรรมนัสกับนางนฤมลพ้นครม.เป็นโบว์ดำประวัติเสียทางการเมือง ชนิดกลายเป็นข่าวเกรียวกราว ทำท่าขึงขังเล่นใหญ่โตงัดข้อกับสร.1 แต่สุดท้ายปลายทางพรรคพลังประชารัฐก็ต้องมาง้อนายกฯโหนพล.อ.ประยุทธ์เข้าสภา
เพราะพรรคไม่มีจุดขายดีเด่นอะไร นโยบายพรรคก็ไม่แหลม หัวหน้าพรรคป้อมก็ไม่เวิร์คเลขาธิการแป้งก็ไม่เด่น ผลงานส.ส.ผู้แทนก็พื้นๆเรียบๆจับต้องไม่ได้ จุดขายอย่างเดียวของพรรคพลังประชารัฐก็คือพล.อ.ประยุทธ์ก็คือลุงตู่ สุมหัวคุยกันแล้วก็ตาสว่างที่สุดจึงต้องขอกอดเอวลุงตู่เข้าสภาอีกครั้งในคราวหน้า “ผมยังเป็นหัวหน้าพรรค ส่วนนายกฯเป็นพล.อ.ประยุทธ์ ลุงตู่อยู่กับเรา จะไม่ไปไหน ต้องตายจากกันไปข้างหนึ่ง ไปไหนกันไม่ได้ ไม่มีแตกแยก ไม่ขัดแย้ง” แหล่งข่าวในที่ประชุมอ้างคำพูดลุงป้อม ยืนยันน้องเล็ก 3 ป.ไม่คิดทิ้งพรรคพลังประชารัฐ แม้จะเพิ่งถูกแทงข้างหลังมาหมาดๆ
นอกจากยืนยันเรื่องพล.อ.ประยุทธ์ไม่ทิ้งพรรคแล้ว พล.อ.ประวิตรยังมีการหารือกับบรรดาคีย์แมนคนสำคัญของพรรค มีการหยิบยกผลการเลือกตั้งทั่วไปรอบที่แล้วเมื่อ 24 มี.ค.2562 มาวิเคราะห์ถอดบทเรียนกัน ที่คราวนั้นพรรคพลังประชารัฐกวาดคะแนนเสียงทั่วประเทศมาได้ 8,441,274 คะแนน แบ่งเป็น ส.ส.เขต 97 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 19 คน รวมได้ผู้แทน 116 คน เป็นพรรคที่ได้ส.ส.มากเป็นอันดับ 2 แต่สามารถรวบรวมเสียงส.ส.ได้มากที่สุดจนได้จัดตั้งรัฐบาล มารอบนี้พล.อ.ประวิตร โปรยยาหอมขอกวาดส.ส.ทั่วประเทศเตะหลัก 200 คน “วันนี้มีพวกเรา มีมืออาชีพเข้ามา เราทำได้อยู่แล้ว 150-200 เสียงในการเลือกตั้งเที่ยวหน้า” แหล่งข่าวอ้างคำพูดบิ๊กป้อม
ต้องถามกลับดังๆว่าลุงไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ? ไปกินอะไรมา ? เพราะการจะกวาดส.ส. 200 ตัวในการเลือกตั้งทั่วไปรอบหน้าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ รอบก่อนถ้าไม่ใช้บัตรใบเดียว ไม่คิดคะแนนแบบตีลังกา 3 ตลบ เอาสูตรคิดคำนวณแบบจัดสรรปันส่วนผสม เอาเพดานส.ส.พึงมีส.ส.พึงได้มาคุมกำเนิดพรรคเพื่อแม้ว หัวเด็ดตีนขาดไม่มีทางที่พรรคเพื่อไทยจะได้ส.ส.มาแค่ 136 คนอย่างแน่นอน เพราะกวาดคะแนนทั่วประเทศไปได้มากถึง 7,881,006 คะแนน แบ่งเป็นส.ส.เขต 136 คน แต่เพราะการคิดสูตรส.ส.บัญชีรายชื่อแบบพิศดาร จึงทำให้พรรคเพื่อไทยไม่ได้เก้าอี้ส.ส.บัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว ทั้งๆที่ได้คะแนนเสียงทั้งประเทศใกล้เคียงกับพรรคพลังประชารัฐ แต่พรรคลุงป้อมกลับได้เก้าอี้ส.ส.บัญชีรายชื่อไปมากถึง 19 ตัว แต่มารอบนี้ไม่รู้พรรคพลังประชารัฐคิดอย่างไรเอาสมองส่วนไหนไปคำนวณ จึงหลงเหลี่ยมเป็นตัวตั้งตัวตีขอแก้รัฐธรรมนูญเองเลย หันกลับไปใช้เลือกตั้งแบบเก่า ใช้บัตร 2 ใบเลือกตั้ง แบ่งผู้แทนเขตเล็ก 400 คน บัญชีรายชื่อ 100 คน เอากติกาเก่ามาใช้ งานนี้เข้าทางโทนี่แบบเต็มๆ เพราะคุ้นชินกับการเลือกตั้งแบบนี้ ทุนก็หนา หัวคะแนนก็มาก การจัดการก็ดีกว่า
ที่ผ่านมายังไม่เรียนรู้เหรอ พรรคขั้วทักษิณชนะเลือกตั้งกวาดเก้าอี้ส.ส.แบบถล่มทลายแลนสไลด์มาตลอดในการเลือกตั้งทุกครั้ง ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย เลือกตั้งรอบที่แล้วก็แพ้เขา ถ้าพวกไม่มากไม่มีก๊กสอง ป่านนี้ล่องจุ๊นกลับบ้านเก่าไปแล้ว อย่าลืมว่าเลือกตั้งใช้บัตร 2 ใบ พรรคพลังประชารัฐก็ต้องแข่งกันเองกับพรรคร่วมอื่นๆด้วย อย่าคิดเข้าข้างว่าตัวเองจะได้มากพรรคเดียวพรรคอื่นก็มีสิทธิ์ได้ผู้แทนมากไปด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อถึงเวลาเลือกตั้งก็ไม่มีใครยอมใคร ไอ้ที่รักกันดีๆจะแทงข้างหลังกันได้ง่ายๆ การเมืองไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวรใครๆก็รู้ การเมืองยังออกได้อีกหลายหน้ายังพลิกได้อีกหลายขั้ว ถึงเวลาตอนนั้นยังไม่รู้ว่าพรรคพลังประชารัฐจะเป็นอย่างไร จะถูกพรรคการเมืองดูดส.ส.มีงูเห่าเหมือนที่ทำกับพรรคอื่นไหม ความนิยมของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร แต่บอกได้เลยว่าหากจองหองลองดีกับพล.อ.ประยุทธ์งัดข้อกับนายกฯ เหมือนอย่างที่เคยคิดจะคว่ำลุงตู่ตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจมาแล้ว อนาคตมีแต่เจ๊งกับเจ๊งแน่นอน เพราะรอบก่อนตอนเลือกตั้งที่ชนะมาได้กวาดส.ส.ภาคกลางกับภาคเหนือมาเยอะก็เพราะบารมีพล.อ.ประยุทธ์คนรักลุงตู่ทั้งนั้น หลงตัวเองสำคัญตัวผิดมีหวังพังแน่นอน ทักษิณคัมแบ๊กเพื่อไทยมาแน่ระวังไว้ให้ดี
//////////////////////