ประเด็นร้อนเรื่องใหม่ที่ถูกพูดถึงกันมากในแวดวงการเมืองตอนนี้ คงหนีไม่พ้นการนับอายุการทำงานในตำแหน่งนายกฯของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ที่ตอนนี้เรียกว่าอีรุงตุงนังเพราะต่างฝ่ายต่างก็ตีความตามความเห็นตามความต้องการเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ประเด็นการนับเวลาบริหารประเทศในตำแหน่งนายกฯของพล.อ.ประยุทธ์ต้องไม่เกิน 8 ปี ตามรัฐธรรมนูญ ม.158 วรรค 4 นั้น ล่าสุดมีการถกเถียงวันเริ่มต้นในการนับเวลาของพล.อ.ประยุทธ์ออกเป็น 3 แนวทาง
แนวทางแรก นับตั้งแต่ 24 ส.ค.พ.ศ.2557 หลังได้รับการโปรดเกล้าฯเป็นนายกฯ ครั้งแรก ในยุคที่พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้นำคณะรัฐประหารเข้ามาควบคุมอำนาจบริหารประเทศในนามหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามแนวทางนี้พล.อ.ประยุทธ์ จะมีโอกาสนั่งเป็นนายกฯแค่ 24 ส.ค. พ.ศ.2565 แนวทางที่สอง นับตั้งแต่ 6 เม.ย. 2560 หลังวันประกาศใช้ รัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2560 ถ้ายึดตามนี้โดยไม่มีผลย้อนหลังพล.อ.ประยุทธ์ จะมีโอกาสนั่งเป็นนายกฯถึง 6 เม.ย.2568 คือสามารถเป็นนายกฯหลังหมดวาระนายกฯสมัยสอง ในวันที่ 9 มิ.ย. 2566 ไปได้อีกปีเศษ แนวทางที่สาม นับตั้งแต่ 9 มิ.ย. 2562 หลังได้รับโปรดเกล้าฯเป็นนายกฯ สมัยที่ 2 หลังการเลือกตั้งและใช้กติกาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ถ้ายึดตามกติกานี้พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่เป็นนายกฯยาวถึง 9 มิ.ย.2570 เรียกว่ามีเวลาทำงานเหลือบานเบอะอีก 6 ปี
เพียงแต่ว่าตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็พยายามตีความเข้าข้างตัวเองแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ฝากฝ่ายพรรคเพื่อไทยดูเหมือนจะเดือดร้อนเป็นห่วงกังวลที่สุด เพราะหากพล.อ.ประยุทธ์มีเวลาอยู่ยาว ก็แสดงว่าพรรคเพื่อไทยที่เป็นพรรคการเมืองขั้วตรงข้ามมีโอกาสมากที่จะเป็นฝ่ายค้านอีกนาน อย่างน้อยถ้าพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯต่อไป พรรคเพื่อไทยก็ต้องอดอยากปากแห้งอีกหลายปี เที่ยวนี้จึงต้องออกมาดิ้นออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้มากหน่อย เพราะถือเป็นพรรคที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง
อ่านเกมส์จากที่นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน ออกมายืนกรานพล.องประยุทธ์ต้องเคารพกติการัฐธรรมนูญ ม. 158 วรรค 4 ที่ระบุ “นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีมิได้” ทั้งนี้ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตำแหน่ง หากนับการดำรงตำแหน่งของพล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่เดือนส.ค.2557 จะครบ 8 ปี ในปี 2565 ซึ่งประเทศไทยมักจะตีความกฎหมายแบบศรีธนญชัยเยอะ ทำให้มีการตีได้ 2 แนวทาง คือ 1.การดำรงตำแหน่งนายกฯ จะมีผลตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2560 บังคับใช้เป็นต้นไป หากตีความแบบนี้ หมายความว่าไม่นับรวมอายุการดำรงตำแหน่งนายกฯ ก่อนปี 2560 ดังนั้น จะครบ 8 ปีในปี 2567 และ 2.ตีความตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ คือนับอายุการดำรงตำแหน่งตั้งแต่เป็นนายกฯ เป็นต้นมา ซึ่งจะครบ 8 ปี ในเดือนส.ค.2565 เรื่องนี้ต้องจบที่พล.อ.ประยุทธ์ คือไม่ต้องให้เกิดความขัดแย้งในการตีความมาก ก็ให้จบการดำรงตำแหน่งนายกฯ ในเดือนส.ค. 2565 โดยการเคารพเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และประเพณีที่ทั่วโลกปฏิบัติตาม คือ ประเทศประชาธิปไตยจะไม่ให้ผู้นำดำรงตำแหน่งเกิน 2 สมัย หรือ 8 ปี ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์สามารถหาทางออกได้ โดยไม่ต้องให้สังคมเกิดความขัดแย้งกัน หากยังไม่ได้ข้อยุติก็อาจมีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
ขณะที่ฝ่ายนักวิชาการก็มีความเห็นแตกต่างกัน เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการทางกฎหมาย และอดีตที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ระบุหากฝ่ายการเมืองจะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยวาระการทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ ตาม ม.158 จะต้องพ่วง ม. 264 ที่บัญญัติให้ ครม.ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็น ครม.ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้จนกว่า ครม.ที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่ไปด้วย ส่วนตัวเห็นควรนับวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯของพล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่ปี 2557 ส่วนคนที่บอกว่านับตั้งแต่ปี 2560 ที่รัฐธรรมนูญบังคับใช้ ถามว่าทำไมถึงนับปี 2560 แล้วคนที่บอกว่านับหลังการเลือกตั้งปี 2562 ถามว่าทำไมจึงนับหลังการเลือกตั้ง เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 264 บอกชัดเจน ดังนั้น ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 เรื่องนี้หากจะทำให้เกิดความชัดเจนต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเท่านั้นว่า สรุปแล้วการนับวาระนายกฯของพล.อ.ประยุทธ์ นับตั้งแต่ปีไหน และครบวาระเมื่อใด หากพรรคฝ่ายค้าน ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลจะยื่นเรื่อง ควรไปยื่นให้ศาลรัฐธรรรมนูญวินิจฉัยก่อนจะเกิดปัญหาขึ้นจะดีกว่า คือ ยื่นก่อนเดือน ส.ค. 2565 เพราะตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่พล.อ.ประยุทธ์ครบวาระ
ส่วนฝ่ายสนับสนุนให้นับหนึ่งพล.อ.ประยุทธ์หลังเป็นนายกฯสมัย 2 เพราะให้ถือกติกาใหม่รัฐธรรมนูญใหม่ เพราะฉะนั้นการนับต้องเริ่มหลังรัฐธรรมนูญบังคับใช้และพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯสมัย 2 อุดม รัฐอมฤต อดีตกรธ. เผยหลักคิดว่า นายกฯที่มาจากรัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นการเสนอชื่อ โดยกระบวนการตั้งแต่ประชาชน ดังนั้นไม่เกี่ยวกับการเป็นนายกฯรักษาการ หรือเป็นนายกฯตามคสช. จึงไม่สามารถตีความอย่างที่พูดถึงกันอยู่ได้ ไม่อย่างนั้นคนที่เคยเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญอื่นก็ไม่มีสิทธิ์กลับมาเป็นนายกฯอีก แต่ความจริงเขามีโอกาสมาเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญนี้ เช่น นายชวน หลีกภัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แม้กระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร เคยเป็นนายกฯแล้ว ไม่ได้แปลว่าหมดสิทธิ์เป็น ซึ่งเราไม่ได้ไปกีดกั้นคนเหล่านี้
“ตอนนี้มีการไปนับว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯตั้งแต่เริ่มรัฐธรรมนูญนี้ และเข้ามาต่อจากตอนเป็น คสช. ซึ่งไม่เกี่ยวกันเลย เขาเป็นมาก่อนรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญปี 60 เขาจะเป็นต่อเนื่องได้ไม่เกิน 8 ปี หรือเป็นตามวาระเว้นไปหรือมาต่อ เพราะถ้าตามรัฐธรรมนูญนี้ เขาจะเป็นได้ไม่เกิน 8 ปี หรือไม่ต่อเนื่องก็นับระยะเวลาตามตำแหน่งจริงๆ ก็ไม่เกิน 8 ปี” นายอุดม กล่าว พร้อมชี้แจงต่อว่า นี่คือสิ่งที่รัฐธรรมนูญนี้เขียนไว้ ไม่ใช่ว่าจะนับตั้งแต่ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ แต่ต้องเป็นตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ( 6 เม.ย.2560) แต่ก็ยังไปตีความกันอีกว่า พอมีรัฐธรรมนูญปี 60 พล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็นนายกฯอยู่แล้วก็นับระยะเวลาไปด้วย อย่าลืมว่าตอนนั้นเขาไม่ได้เป็นนายกฯ ตาม ม. 158 แต่นั่นเขาเป็นนายกฯตามบทเฉพาะกาล
เชื่อว่าเรื่องนี้ต้องเป็นประเด็นที่พูดถึงกันอีกยาว เพราะพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลก็หวังหยิบเรื่องนี้มาตีกินหวังผลทางการเมือง เข้าทำนองตีปลาหน้าไซป่วนนายกฯให้เสียสมาธิทางการเมือง อย่างไรก็ตามหากเปิดรัฐธรรมนูญดูแบบชัด ม.158 เขียนไว้ชัด พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรฯและรมต.อื่นอีกไม่เกิน 35 คน ประกอบเป็นครม. มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน นายกฯต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตาม ม.159 ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯนายกฯ จะดํารงตําแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดํารงตําแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตําแหน่ง ขณะที่ ม.159 เขียนว่า ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ จากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม ม.160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตาม ม.88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิก ได้รับเลือกเป็นส.ส.ไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรการเสนอชื่อตามวรรคหนึ่งต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกฯ ต้องกระทําโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
ไม่ต้องอ่านกฎหมายรู้ดูกฎหมายเป็น เป็นชาวบ้านคนธรรมดาทั่วไปก็น่าจะเดาออกอ่านได้ในเรื่องของการตีความตามรัฐธรรมนูญความเป็นไปได้ในแต่ละทาง แนวทางแรกนับตั้งแต่ 24 ส.ค.พ.ศ.2557 ตอนพล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเป็นนายกฯสมัยแรก ครบ 8 ปี จะตรงกับ 24 ส.ค. พ.ศ.2565 ดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้เพราะรัฐธรรมนูญเกิดตามมาทีหลังคงไปใช้บังคับไม่ได้ แถมพล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นนายกฯที่แต่งตั้งมาจากรัฐธรรมนูญชั่วคราวบทเฉพาะกาล แนวทางที่สองนับตั้งแต่ 6 เม.ย. 2560 หลังวันประกาศใช้ รัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2560 พล.อ.ประยุทธ์จะมีโอกาสนั่งเป็นนายกฯครบ 8 ปีในวันที่ 6 เม.ย.2568 แม้จะมีรัฐธรรมนูญประกาศใช้แล้ว แต่ก็ติดที่มาของพล.อ.ประยุทธ์ในสมัยแรกก็มาจากบทเฉพาะกาล ไม่ได้มาตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ม.158 ,ม.159 เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจเข้าหลักเกณฑ์เรื่องนี้ แนวทางที่สาม นับตั้งแต่ 9 มิ.ย. 2562 หลังได้รับโปรดเกล้าฯเป็นนายกฯ สมัยที่ 2 หลังการเลือกตั้งและใช้กติกาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ถ้ายึดตามกติกานี้พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่เป็นนายกฯยาวถึง 9 มิ.ย.2570 มีโควต้าสามารถเป็นนายกฯได้อีก 6 ปี
ตอนนี้ได้วีซ่าจากประชาชนมาแล้ว 4 ปี บริหารไปแล้ว 2 ปี เหลือวีซ่าอีก 2 ปี จากนั้นก็ต้องวัดดวงวัดใจวัดศรัทธาจากชาวบ้านจากคนไทยว่าจะให้พล.อ.ประยุทธ์ไปต่อในตำแหน่งเดิมหรือไม่ เป็นนายกฯตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 สมัยสอง แต่นั่งบริหารประเทศสมัยที่ 3 ถึงตอนนี้รู้แล้วหรือยังว่าทำไมแดงทุนนิยมสามานย์ถึงดิ้นเหมือนปลาหมอถูกตีหัว ไยส้มหวานล้มเจ้ายุเด็กป่วนบ้านเมืองถึงเต้นเป็นเจ้าเข้า หากปล่อยไหลให้พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศแบบนี้ต่อไป เจ้าตัวจะมีโควต้าเป็นสร.1 บริหารประเทศไปได้ยาวถึงเดือนมิ.ย. พ.ศ. 2570 อย่าได้แปลกใจหากสมาชิกพรรคเพื่อไทย ส.ส.พรรคก้าวไกล สื่อฝ่ายล้มเจ้าไม่ชอบรัฐบาล นักวิชาเกินถึงออกมาร้องแรกแหกกระเชอชี้เป้าเรื่อง 8 ปี หมายเบรกประยุทธ์ให้ได้ในส.ค.2565 เพราะหากปล่อยบิ๊กตู่ไหลไปยาวๆแบบนี้มีสิทธิ์สร้างประวัติศาสตร์ “แฮตทริกผู้นำ” ผงาดเป็นนายกฯ 3 สมัย 12 ปี หากเป็นแบบนั้นเชื่อแน่ว่าพรรคเพื่อไทยหนาวแน่ ส่วนพรรคก้าวไกลก็คงตายสนิท ไม่มีวันได้ผุดได้เกิดอีกต่อไป
////////////////////