“ว้าแดง” ถึงเส้นตาย! “ทหารไทย” รอสัญญาณ หากตุกติกพร้อมเคลื่อนพล

“แหล่งข่าวกองทัพภาค 3” ยัน 18 ธ.ค. ต้องจับตา “ว้าแดง” ถอนกำลังทหารออกจากชายแดนไทยหรือไม่ หลังมีข่าวลือสะพัดเจรจาลับ-ยอมถอย แต่ขอเวลา 3 เดือน

“ว้าแดง” ถึงเส้นตาย! “ทหารไทย” รอสัญญาณ หากตุกติกพร้อมเคลื่อนพล

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

และแล้วก็มาถึงวันเดดไลน์ ที่ไทยขีดเส้นตายให้กลุ่มว้าแดง ถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ชายแดน ภายใน 30 วัน ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 18 ธันวาคม ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า กลุ่มว้าแดงจะถอนกำลัง ตามที่ได้ตกลงไว้กับไทยหรือไม่ ถ้าหากไม่มีการถอนกำลัง ไทยจะทำอย่างไร

ล่าสุด แหล่งข่าวจากกองทัพภาคที่ 3 เปิดเผยกับทีมข่าว TOPNEWS ถึงความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวว่า ที่ผ่านมา เราได้มีการเจรจากับกลุ่มว้าแดง เพื่อให้ถอนกำลังออกจากพื้นที่ชายไทยบริเวณ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่ามีสัญญาณที่ดี เนื่องจากกลุ่มว้าแดงรับปากว่า จะถอนกำลังออกจากชายแดนไทย ในวันที่ 18 ธันวาคมนี้ แต่เนื่องจากมีการรุกล้ำเข้ามาตั้งฐานทัพ มากถึง 8-10 จุด ซึ่งแต่ละจุดมีการติดตั้งยุทโธปกรณ์เอาไว้ ทำให้การถอนกำลัง อาจเกิดความล่าช้า แต่ยืนยันว่า หากในวันนี้ ทางกลุ่มว้าแดงยังไม่มีการขยับตามที่ตกลงกันไว้ ฝั่งเราก็จะมีการเคลื่อนกำลังเข้าไปกดดัน ให้มีการถอนกำลังอย่างแน่นอน ซึ่งต้องรอดูว่า ในวันนี้ทางกลุ่มว้าแดง จะมีการขยับตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ มีข้อมูลอัพเดทมาจากยูทูปช่องของคุณวาสนา นาน่วม สื่อมวลชนสายทหาร ระบุว่า การสู้รบไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แม้ว้าจะเป็นกองกำลัง ไม่ใช่รัฐ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างทหารไทยที่อยู่ชายแดนกับว้าแดง รวมถึงรัฐบาลทหารพม่าก็ยังคงเป็นไปด้วยดี เพราะฉะนั้นเรื่องนี้คงจบแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย คือว้าจะยอมถอยออกไปจากพื้นที่ ที่ไทยอ้างสิทธิ์ว่าเป็นเขตแดนของไทย จะไม่มีการสู้รบกัน ไม่ใช่เพราะไทยกลัวว้า แต่เพราะว้าเป็นแค่กองกำลังไม่ใช่รัฐหรือประเทศ ที่จะมีศักยภาพจะมาสู้ทหารบกของไทย และไทยก็ไม่อยากจะได้ชื่อว่ารังแกชนกลุ่มน้อย เพราะเมื่อเทียบกันฝ่ายไทยเหนือกว่าอยู่แล้ว

ที่ผ่านมาด้วยความรอมชอม และความใจดีของทหารไทย จึงทำให้ว้าแดงค่อยๆ กระเถิบคืบคลาน ขยายการตั้งฐานปฏิบัติการจนล้ำเข้ามาเกินงาม โดยเฉพาะบริเวณแนวดอยหัวม้า ที่ล้ำเข้ามาถึง 250 เมตร จนฝ่ายทหารไทยเห็นว่าหากยังนิ่งเฉยไม่มีการประท้วง ก็จะมีการอ้างสิทธิ์ไปเรื่อย ทางกองทัพภาคที่ 3 จึงมีการส่งหนังสือประท้วงในระดับชายแดนท้องถิ่น หรือ TBC ไปหลายครั้ง และประท้วงผ่านกระทรวงการต่างประเทศด้วย การเตือนให้ว้าถอยออกไป ไม่ใช่ครั้งแรก แต่แน่นอนว่ามีคำถามเกิดขึ้นว่า ทำไมครั้งดูไทยดูเอาจริง โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการทหารบก ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่า มีการกระซิบมาจากฝ่ายสหรัฐอเมริกาหรือไม่ แต่หน่วยความมั่นคงของไทยยืนยันว่า สหรัฐไม่ได้เข้ามามีบทบาทเรื่องนี้โดยตรง แต่ในเชิงยุทธศาสตร์แล้ว กองทัพไทยเองก็ต้องมองภาพรวมในมิติของมหาอำนาจ ทั้งสหรัฐ และจีน ที่พยายามเข้ามามีบทบาทในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะกลุ่มว้า ที่ได้รับการสนับสนุน ทั้งจากรัฐบาลทหารพม่า และจีนด้วย

 

ดังนั้นในภาพรวมของความสัมพันธ์ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ของไทย พม่า และกลเกมมหาอำนาจของจีนและสหรัฐ มีส่วนต่อความเป็นไปของปัญหาชายแดนระหว่างไทย พม่า หรือแม้แต่กลุ่มว้าแดง รวมถึงชนกลุ่มน้อยต่างๆ ทั้งสิ้น แต่ในเชิงความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพไทย กับรัฐบาลทหารพม่า หรือจีน ก็ยังพูดคุยกันได้ ดังนั้นกรณีของว้าแดงนี้ มีการพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว จนในที่สุดได้ข้อตกลง คือทางฝ่ายว้าจะยอมถอนและถอยกำลังที่ตั้งฐานทหารของว้า บริเวณแนวดอยหัวม้า ออกไปอยู่ในฝั่งของพม่าตามที่ไทยได้ประท้วงไป แต่ไม่ใช่แค่นั้น เพราะมีข้อตกลงลับเกิดขึ้นด้วย คือว้าแดงจะค่อยๆ ถอยออกไป และรื้อถอนฐานทหารที่ล้ำแดน โดยขอเวลาประมาณ 3-4 เดือน เพื่อให้เป็นการถอยอย่างมีเชิง เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ทางฝ่ายว้าเองก็อาจจะเสียฟอร์มที่ยอมถอยให้ทหารไทยในครั้งนี้

 

ว้าแดงเป็นฝ่ายที่จะต้องยอม เพราะแม้ว้าอาจอยากสู้ แต่ถ้าจีนไม่หนุน เพราะยุทธศาสตร์ในเวลานี้ อาจยังไม่ถึงขั้นที่จีนจะต้องหนุนว้าให้สู้กับไทย เพราะยังไม่มีประโยชน์ไทย ซึ่งเรื่องนี้ ตัวแทนกองทัพบก กองทัพภาคที่ 3 และฝ่ายความมั่นคงของไทย ได้มีการเจรจากับทั้งผู้นำว้า ผู้นำพม่า และฝ่ายจีนเรียบร้อยแล้ว และในเร็วๆ นี้ก็จะมีการพบปะกันระหว่างไทยและพม่า เพื่อหารือความร่วมมือด้านชายแดน เรื่องการปราบปรามยาเสพติด และความมั่นคงด้านชายแดน ซึ่งก็อาจจะรวมถึงเรื่องที่เรือรบพม่ายิงเรือประมงไทย และยังจับลูกเรือที่เป็นคนไทย ที่ยังรอการปล่อยตัว ขณะเดียวกันก็จะมีการคุยเรื่องว้าแดงด้วย

 

 

เราจะเห็นได้ว่าในห้วงไม่กี่วันที่ผ่านมา การฝึกการใช้กำลังทางอากาศทางยุทธวิธีของกองทัพอากาศ ที่สนามฝึกชัยบาดาล จ.ลพบุรี ที่แม้จะเป็นการฝึกตามวงรบที่มีเป็นประจำทุกปี แต่ปีนี้ก็มีการสื่อสัญญาณในรูปแบบของการฝึก โดยการใช้เครื่องบินรบ ทั้ง F16 กริฟเพ่น อัลฟ่าเจ็ท Fไฟว์ ในการบินลาดตระเวนรบ และการใช้อาวุธ โดยเฉพาะระเบิดขนาด 500 ปอนด์ ที่นักบินกองทัพอากาศสามารถทิ้งลงเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ จนมีการคาดกันว่า ภาพทั้งหมดนี้ ต้องการสื่อสารไปยังว้าแดงให้เห็นแสนยานุภาพด้วย หรืออาจจะตีความได้ว่า เหมือนจะเป็นการตั้งใจแสดงศักยภาพให้ทางฝ่ายว้าแดงได้ดู อีกทั้งในเพรสรีรีสของกองทัพอากาศ มีการตบท้ายด้วยว่า กองทัพอากาศจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยการรักษาอธิปไตย และความสงบเรียบร้อยของประเทศอย่างเต็มที่

 

การฝึกของกองทัพอากาศในวันนั้น นอกจากจะเน้นเรื่องของทางบกแล้ว ยังมีการฝึกในส่วนของเครื่องบินกริฟเพ่น ที่บินลาดตระเวนปฏิบัติการทางทะเล ซึ่งก็ถูกตีความว่าเป็นการส่งสัญญาณไปยังชายแดนด้านตะวันออกหรือไม่

 

แต่อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์และยุคปัจจุบัน คงไม่มีใครอยากใช้กำลังห้ำหั่นกัน คงเลือกวิธีการเจรจาแบบสันติวิธีที่ถือเป็นหลักสากล โดยเฉพาะประเทศไทย เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเรารังแกกองกำลังชนกลุ่มน้อย แม้ว่าว้าแดงจะได้ชื่อว่าเป็นกองกำลังที่เข้มแข็งมากที่สุดกองกำลังหนึ่งก็ตาม ทั้งนี้ แม้จะตกลงกันได้ว่า ว้ายอมถอนออกไป โดยขอเวลา 3-4 เดือน แต่ไทยเองก็ต้องไม่วางใจในสถาการณ์ ที่มหาอำนาจเริ่มคืบคลานเข้ามา ทั้งฝั่งไทยเอง และฝั่งพม่า และอาจต้องมองกันยาวๆ ว่าหากรัฐบาลทหารพม่าต้องแอบอ่อนแอลงไปกว่านี้ จีนที่เป็นแบ็กอัพอยู่เบื้องหลัง จะเลือกแผนใดเพื่อคุมพื้นที่นี้ไว้ โดยเฉพาะการเลือกเสริมศักยภาพให้กองกำลังว้าแดงแบบเต็มรูปแบบ เพื่อมาทดแทนความแข็งแกร่งของรัฐบาลทหารพม่า อีกทั้งต้องรอดูบทบาทของสหรัฐ ที่ผ่านมาทางกลุ่มอาเซียน ที่ก่อนหน้านี้หวังให้ไทยเป็นคนกลางในการแก้ปัญหาความไม่สงบในพม่า แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ขณะเดียวกันตอนนี้ต้องจับตามาเลเซีย กับบทบาทประธานอาเซียน ที่จะมาเล่นบทนำในเรื่องนี้ รวมถึงบทบาทของอินเดีย ที่พยายามเข้ามาในพม่ามากขึ้น เรียกได้ว่าปัญหาความมั่นคง และปัญหารอบบ้าน ไม่อาจกระพริบตาได้เลย และกองทัพกับฝ่ายความมั่นคง ก็ต้องการรัฐบาลและรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ที่แข็งแกร่งและพร้อมซัพพอร์ตฝ่ายความมั่นคง และกองทัพ อย่างเข้าใจและมีจุดยืนที่ชัดเจน รวมถึงบทบาทของกระทรวงต่างประเทศ ที่จะต้องเป็นหลักในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศ โดยมีกองทัพเป็นกลไกเสริม ในส่วนที่มีความสัมพันธ์ทางการทหาร เพราะการสู้โดยฝ่ายทหารนั้น จะต้องได้รับไฟเขียวจากกระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลก่อน รวมทั้งฝ่ายรัฐบาลก็ต้องเห็นคุณค่าบทบาทสำคัญของกองทัพ ในการแก้ปัญหาระหว่างประเทศด้วย

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“ราชินีแห่งราชินี” ผู้ทรงเป็น “พระแม่แห่งแผ่นดิน”
นักท่องเที่ยวและประชาชนกว่า 1,000 คน ร่วมงาน “กินเจ อิ่มบุญ”
“OCEAN CHUMPHON Soft Power Runway” ฉลองครบรอบ 42 ปี ปลุกพลัง Soft Power
ชาวระนองร่วมแสดงความอาลัย “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ในพิธีแห่พระใหญ่ เทศกาลถือศิลกินผัก
อวสาน“เสือเหลือง” สายแว้นเมืองคอน
ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 แถลงการณ์จับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 2 คดี

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​