กระทรวงต่างประเทศรัสเซีย ออกแถลงการณ์เมื่อวาน (8 ธันวาคม) ตอนหนึ่งระบุว่า รัสเซียยังคงการติดต่อกับตัวแทนกลุ่มต่าง ๆ ในซีเรีย ส่วนฐานทัพที่นั่น ตั้งอยู่ในความเตรียมพร้อมระดับสูง แต่อ้างว่า ณ เวลานี้ ยังไม่มีภัยคุกคามร้ายแรงใด ๆ และล่าสุด เจ้าหน้าที่เครมลิน ให้ข่าวกับสื่อทางการว่า แกนนำกลุ่มติดอาวุธในซีเรีย ให้ความมั่นใจว่าสถานทูตและฐานทัพรัสเซียในซีเรียจะปลอดภัย ขณะบีบีซีรายงานว่า สถานการณ์อาจจะไม่ง่าย
ปัจจุบัน รัสเซียมีทหารในซีเรีย ราว 7 พัน 500 คน ส่วนใหญ่ประจำการอยู่ในฐานทัพหลักสองแห่ง ได้แก่ ฐานทัพอากาศฮไมมีม (Hmeimim) ในจังหวัดลาทาเกีย และฐานทัพเรือที่เมืองทาร์ทัส (Tartus) แต่มีรายงานว่า ทหารรัสเซียหลายสิบ ส่วนใหญ่เป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษ กระจัดกระจายอยู่ทั่วซีเรีย ทหารบางหน่วยสามารถถอยร่นกลับ หรือเข้าไปใกล้ฐานทัพขณะกลุ่มกบฏรุกคืบ แต่มีหลายสิบคนขาดการติดต่อกับกลุ่มหลัก ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากนายทหารเกษียณของรัสเซียสองคน ที่ติดต่อใกล้ชิดกับทหารในซีเรีย
อนาคตฐานทัพรัสเซียในซีเรียก็ไม่แน่นอนเช่นกัน บีบีซี ภาคบริการภาษารัสเซีย รายงานว่า จากภาพถ่ายดาวเทียมพบว่า เรือรบรัสเซียส่วนใหญ่ออกจากฐานทัพเรือทาร์ทัส เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ส่วนเครื่องบินรบในลาทาเกีย ยังอยู่ที่สนามบิน มีรายงานที่ยังไม่ยืนยันว่า รัสเซียจะเริ่มอพยพบุคลากรในวันนี้
รัสเซียสนับสนุนและส่งความช่วยเหลือทางทหาร ค้ำจุนระบอบอัสซาดมานาน 9 ปี แต่เชื่อว่าเวลานี้ กำลังพยายามหาหนทางเจรจากับผู้นำใหม่ในซีเรีย ปัจจุบัน รัสเซียปรับท่าที โดยย้ำว่าต้องการให้วิกฤติซีเรียคลี่คลายด้วยการทำความตกลงทางการเมือง ขณะที่สื่อทางการ ที่เคยเรียกกองกำลังติดอาวุธที่โค่นอำนาจอัสซาดว่า “ผู้ก่อการร้าย” ก็เปลี่ยนเป็น “กลุ่มฝ่ายค้าน” หรือ “ฝ่ายค้านติดอาวุธ”
ก่อนหน้านี้ บรรดาบล็อกเกอร์สายสงครามในรัสเซีย ออกมาเตือนก่อนว่า ภัยคุกคามเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้คือความปลอดภัยของฐานทัพสองแห่ง โดยเฉพาะที่ทาร์ทัส เป็นศูนย์ซ่อมบำรุงและเสบียงแห่งเดียวของรัสเซียในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทั้งยังเป็นจุดส่งกำลังทหารรับจ้างเข้าออกแอฟริกา
กองทัพรัสเซียมุ่งปฏิบัติการในสงครามยูเครนเป็นหลัก โดยพยายามเร่งยึดพื้นที่เพิ่มเติมก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม ทำให้ขีดความสามารถของรัสเซียในการควบคุมสถานการณ์ในซีเรียลดลง เมื่อเทียบการเข้าแทรกแซงเพื่อสนับสนุนรัฐบาลอัสซาด เมื่อปี 2558 ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ท้าทายอำนาจและการครอบงำของตะวันตก นอกเหนือดินแดนอดีตสหภาพโซเวียต
ความก้าวหน้าของฝ่ายกบฏ บ่อนทำลายอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซียในตะวันออกกลาง รวมถึงความสามารถในการแสดงแสนยานุภาพในภูมิภาค นอกจากนี้ ยังอาจสร้างความอับอายแก่ปูติน ที่เคยอ้างว่า การแทรกแซงในซีเรียแสดงถึงศักยภาพของรัสเซียในดินแดนห่างไกล และแข่งขันกับชาติตะวันตกได้