ABC และ AFP รายงานว่านายเกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น (พุธที่ 11 กย.) ที่เขตลอสแอนเจลิส, ซานเบอร์นาดิโน่, ออเรนจ์, และริเวอร์ไซด์ ซึ่งอยู่ล้อมรอบนครลอสแอนเจลิส เมืองใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของสหรัฐ หลังจากไฟป่า “Bridge Fire” (บริดจ์ ไฟร์) ซึ่งเริ่มปะทุเป็นจุดเล็กๆเมื่อช่วงบ่ายวันอาทิตย์ทางเหนือของนครแอลเอ ได้ลุกลามบานปลายอย่างรวดเร็ว ล่าสุดกินพื้นที่ไปมากกว่า 1 แสน 2 หมื่น 5 พันไร่ภายในเวลา 3 วัน โดยโหมไหม้บ้านเรือนประชาชนที่เมืองไรท์วู้ด และเม้าท์บอลดี้ ในเขตซานเบอร์นาดิโน่ ไปแล้วอย่างน้อย 33 หลัง และกำลังลุกลามไปยังเมืองสกีริสอร์ทชื่อดัง ส่งผลให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยเร่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ แต่หมอกควันจากไฟป่าเป็นอุปสรรคต่อปฎิบัติการกู้ภัย
ขณะที่ไฟป่าจุดที่สองที่เรียกว่า “Airport Fire” (แอร์พอร์ต ไฟร์) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแอลเอ ก็ลุกลามเผาไหม้พื้นที่เกษตรกรรมและบ้านเรือนประชาชนวอดไปหลายหลัง กินพื้นที่มากกว่า 5 หมื่น 5 พันไร่ และทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บ 7 คน
ไฟป่าจุดที่สามเกิดขึ้นทางตะวันออกเฉียงเหนือของนครลอสแอนเจลิส เรียกว่า “Line Fire” (ไลน์ ไฟร์) ได้เผาผลาญชุมชนซึ่งอยู่บนภูเขาวอดวายกินพื้นที่เกือบ 9 หมื่นไร่ โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ทำให้เจ้าหน้าที่สั่งปิดทางหลวงสำคัญหลายสาย และสั่งอพยพประชาชนหลายหมื่นครอบครัวออกจากพื้นที่ ตำรวจได้จับกุมชายวัย 34 ปีหลังสงสัยว่าเป็นผู้จุดไฟจนเป็นต้นเหตุของไฟป่าครั้งใหญ่
ทางการรัฐแคลิฟอร์เนียเผยว่าไฟป่าขนาดใหญ่ทั้ง 3 จุดโดยรอบนครลอสแอนเจลิสยังไม่สามารถควบคุมได้ โดยเผาผลาญพื้นที่ป่าไปแล้วรวมทั้งสิ้นกว่า 2 แสน 5 หมื่นไร่ และกำลังลุกลามเข้าเขตชุมชน โดยมีบ้านเรือนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงรวมแล้วหลายหมื่นหลัง ล่าสุดนายนิวซัมได้ระดมเจ้าหน้าที่ดับเพลิงราว 6 พันนาย รวมทั้งเครื่องบินหลายสิบลำและรถดับเพลิงกว่า 500 คันเร่งควบคุมไฟ
นอกจากไฟป่า 3 จุดใหญ่ๆที่แอลเอ รัฐแคลิฟอร์เนียยังเผชิญกับไฟป่าจุดอื่นๆอีก รวมทั้งสิ้น 16 จุดในขณะนี้ โดยสาเหตุหลักเกิดจากคลื่นความร้อนที่ทำให้อากาศร้อนจัดและแห้งแล้งเป็นเวลานาน