“ มีรัฐมนตรีบางคนพูดจาไม่ดีและนินทาผมในที่ประชุมบางวง ให้ระวังตัวไว้ด้วย ผมเป็นคนตัดสินใจเลือกเข้ามาทำงาน จะชอบหรือไม่ชอบผม อย่านินทาให้ผมได้ยิน ถ้าผมได้ยินอีกผมจำเป็นต้องปรับออก จะริบโควตานั้นมาเป็นของผมเอง ระวังตัวไว้ด้วยแล้วกัน ผมไม่เคยทำให้ท่านเสียหาย ผมมีทีมงานคอยดูเฟซบุ๊คทุกท่าน ผมไม่วางใจและไม่สบายใจ ใครก็ตามที่สร้างความขัดแย้ง เกลียดชัง ทุจริต ถ้ามีปัญหาผมจะพิจารณาเอาออก ผมจะไม่ให้โควตาพรรค จะดึงมาเป็นโควตาผม” เป็นประโยคที่พล.อ.ประยุทธ์ระเบิดอารมณ์ใส่ครม. ช่วงสุดท้ายของการประชุมเมื่อ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา แต่นายกฯก็เก็บอารมณ์ไม่อยู่ ทั้งๆที่การประชุมครม.วันนั้นบรรยากาศระหว่างประชุมก็เป็นไปด้วยความชื่นมื่น เพราะนายกฯยังมีการหยิบประเด็นถูกกทม.ปรับเงิน 6 พันบาทกรณีไม่สวมหน้ากากมาแซวรัฐมนตรีทุกคน ในทำนองพวกคุณก็ระวังตัวให้ดี พลาดแบบผมก็จะถูกปรับเหมือนกัน
แต่จู่ๆบรรยากาศก็มาอึดอัดในตอนท้าย เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ไม่ทนที่ถูกรมต.บางคนไปแอบด่าในหลายวงประชุมเรื่อยไปจนถึงในเฟซบุ๊ค แต่ผมมีคนมอนิเตอร์เรื่องนี้ติดตามดูตลอด คล้อยหลังกระแสข่าวเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป มีการถอดรหัสกันอุตลุตว่ารมต.คนไหน คือ “ไอ้โม่ง” ที่ทำให้พล.อ.ประยุทธ์อารมณ์เสียถึงกับออกมาบ่นดังๆกลางครม. ประมวลสถานการณ์เบื้องต้นมีพรรคร่วมรัฐบาลที่ระหองระแหงกับพล.อ.ประยุทธ์ อยู่ 2 พรรค หนึ่งคือพรรคประชาธิปัตย์ อีกหนึ่งคือพรรคภูมิใจไทย
กรณีของพรรคประชาธิปัตย์ช่วงนี้มีประเด็นพิพาทกับพล.อ.ประยุทธ์จริงๆ ในเรื่องของการแบ่งพื้นที่จังหวัดในรัฐมนตรีดูแล ที่คำสั่งล่าสุดของนายกฯมีการฮุบหลายพื้นที่ทางภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์มาประเคนให้กับรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐแบบน่าเกลียด โดยเฉพาะกรณีของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ที่ถูกโยกมาดูแลพื้นที่ภาคใต้คุม 3 จังหวัดเกรดเอสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ คือ จ.สงขลา จ.นครศรีธรรมราช และ จ.ภูเก็ต แบบเหยียบตีนนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ที่เป็นส.ส.สงขลาแท้ๆแต่ถูกอัปเปหิออกไม่ให้ดูแลพื้นที่บ้านตัวเอง หรือกรณีนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมฯ ก็ถูกริบพื้นที่บ้านตัวเองอย่างจ.พิษณุโลกออกไปให้คนอื่นดูแล หรือการเตะนายสีนิตย์ เลิศไกร รมช.พานิชย์ พ้นจากบ้านเกิดที่จ.สุราษฎร์ธานีไปกินฝุ่นแถวอีสานที่จ.หนองบัวลำภู และ จ.ร้อยเอ็ด ชนิดทำให้พรรคประชาธิปัตย์หงุดหงิดเกิดอารมณ์กันทั้งพรรค เพราะจับยัดแบบผิดฝาผิดตัว ไม่รักษาน้ำใจไม่เห็นหัวพรรคร่วมกันเลย แต่เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะเป็นประเด็นต้นเหตุรัฐมนตรีจอมนินทา เพราะล่าสุดก็เคลียร์กันได้คุยกันจบแล้ว โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมายเตรียมส่งชื่อแบ่งงานรัฐมนตรีใหม่ให้นายกฯวันนี้ (29 เม.ย.) ก็น่าจะยุติปัญหาแล้ว
เพราะฉะนั้นจะเหลือก็แต่กรณีของพรรคภูมิใจไทยที่มีปัญหาระหองระแหงกันมาตลอด เสมือนระหว่างนายกฯกับพรรคภูมิไทยมี “ปม” ระหว่างกันอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้ก็เป็นประเด็นรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทยถูกกระแสข่าวโจมตีว่าเป็นต้นเหตุทำให้เกิดคลัสเตอร์สถานบันเทิง เป็นต้นทางระบาดระลอก 3 ส่งผลให้พล.อ.ประยุทธ์ถูกด่ารัฐบาลถูกโจมตีว่าคุมสถานการณ์ไม่อยู่ดูแลการแพร่ระบาดของโควิดไม่ได้ ที่สุดก็บานปลายกลายเป็นไฟลามทุ่งมาจนถึงทุกวันนี้
งานนี้หลายฝ่ายประเมินตรงกันว่า “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ตกเป็น “จำเลย” เพราะมีกรณีที่ถูกมองว่ามีเรื่องปะทะมีเรื่องคาใจกับพล.อ.ประยุทธ์หลายหนหลายประเด็น ก่อนหน้านี้ก็เรื่องคลัสเตอร์สถานบันเทิงย่านทองหล่อ เรื่อยมาจนถึงการบริหารสถานการณ์แก้ไขปัญหาโควิดระลอก 3 ที่ไม่ง่ายไม่หมูเหมือนระลอก 1 และ 2 เพราะเที่ยวนี้คนติดเยอะคนตายมาก วงในเล่าว่ามีเรื่องกระทบกระทั่งในเข้าใจระหว่างกันมาตลอด ประมาณ “ลิ้นกับฟัน” สารพัดจิปาถะ ทั้งเรื่องบริหารจัดการเตียง การหาโรงพยาบาลให้คนป่วย การจัดหายา การนำเข้าวัคซีน ฯลฯ ต่างคนต่างเหนื่อยต่างคนต่างถูกกดดัน
สัญญาณความไม่ลงรอยเกิดขึ้นตั้งแต่บ่อยครั้งการประชุมวงเล็กวงในเรื่องโควิดนายอนุทินไม่ถูกเรียกมาหารือด้วย ทั้งๆที่เป็นรมว.สาธารณสุข หรือแม้แต่การตั้งคณะกรรมการจัดหาวัคซีนก็มีแต่ชื่อหมอไร้เงาของนายอนุทินไปร่วมด้วยแบบที่หลายคนตั้งคำถาม ก่อนฟางเส้นสุดท้ายจะมาแตกหักเมื่อพล.อ.ประยุทธ์ “ปฏิวัติเงียบ” ด้วยการผุดศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาโควิดแบบเบ็ดเสร็จ (Single command) ต่อด้วยการที่ครม.อนุมัติการโอนถ่ายอำนาจรัฐมนตรีใส่มือนายกฯ โดยดึงพ.ร.บ. 31 ฉบับ สำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโควิดมาอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ทั้งหมดกุมอำนาจการตัดสินใจทุกเรื่องแบบเบ็ดเสร็จ ในภาวะที่ต่างฝ่ายต่างถูกสังคมรุกไล่ ในภาวะที่ทั้งคู่ต่างถูกผู้คนกดดันอย่างหนัก พล.อ.ประยุทธ์ถูกส.ส.ฝ่ายค้านรุกไล่ให้ลาออก นายอนุทินถูกหมอไม่ทนล่าชื่อตะเพิดพ้นตำแหน่งรมว.สาธารณสุข ปัญหาภายนอกก็หนักมากพออยู่แล้วปัญหาภายในระหว่างกันก็มีปัญหากินใจกันอยู่ ระหว่างพล.อ.ประยุทธ์กับนายอนุทินเหมือนมีกำแพงบางๆกั้นอยู่เท่านั้น และพร้อมระเบิดปะทุหากันตลอดเวลา หลังนายกฯผุดศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาโควิดแบบเบ็ดเสร็จ
โดยก่อนหน้าครม.อนุมัติถ่ายโอนอำนาจหนึ่งวัน หลังมีข่าวนายกฯเล็งรวบอำนาจจะเกิดขึ้นแน่นอนแล้ว นายอนุทินโพสต์เฟซบุ้คเมื่อ 26 เม.ย.2564 เวลา 17.40 น. ยืนยันไม่มีการแย่งอำนาจ ไม่ขัดแย้งนายกฯ เพราะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ในเวลาไล่เลี่ยใกล้เคียงกับที่นายอนุทินโพสต์เฟซบุ้คก่อนหน้านั้น 1 นาที นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทยก็โพสต์เฟซบุ้ค 26 เม.ย.2564 เวลา 17.39 น. อย่างดุเดือด ด้วยข้อความว่า “ การประกาศใช้ พรก. ฉุกเฉินและการตั้ง ศบค. ซึ่งการใช้อํานาจพิเศษเป็นสิ่งที่นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา ถนัดที่สุดจึงไม่แปลกที่มีการเลือกใช้อํานาจพิเศษในการจัดการกับโรคระบาดซึ่งโครงสร้างของศบค.ได้ตัดการมีส่วนร่วมของภาคการเมืองออกรวมถึงได้ตัดคณะรัฐมนตรีออกจากการทํางานในศบค. โดยหน่วยงานที่นั่งหัวโต๊ะกําหนดทิศทางของศบค.กลับเป็นหน่วยงานความมั่นคง นําโดยสภาความมั่นคงแห่งชาติแทนที่จะเป็น สาธารณสุข เราจึงเห็นการมองโรคระบาดเป็นภัยความมั่นคง เป็นอริราชศัตรู ต่างจากการแก้ปัญหา โรคระบาดในรอบที่ผ่านๆมา ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่ประสบความ สําเร็จ” แม้ไม่ได้กล่าวถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง แต่การโพสต์ข้อความดังกล่าวถูกทีมงานสร.1 มองว่าเป็นปฏิบัติการแซะ เป็นการใช้สงครามตัวแทนออกมารับลูกกันเพื่ออัดนายกฯ เจอไปแบบนี้ไปคนมีอารมณ์คนมีอะไรในใจอยู่แล้วอย่างพล.อ.ประยุทธ์ก็เลยถูกจุดติดง่าย เท็จจริงเรื่องนี้เป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ และใครคือ “ไอ้โม่ง” ที่เป็นรัฐมนตรีจอมนินทามีแต่พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้นที่รู้
////////////////