เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ผ่านมา ศาสตราจารย์ ดร.สุรพงษ์ โสธนะเสถียร นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลพระนคร แถลงข่าวถึงการเตรียมเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลพระนคร เป็น มหาวิทยาลัยพระนคร พร้อมชี้แจงประเด็นดราม่า หลังศิษย์เก่า และนักวิชาการหลายรายตั้งข้อวิพากวิจารณ์
โดยศาสตราจารย์ ดร.สุรพงษ์ นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยี กล่าวว่า เรื่องการเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัย มีการพูดคุยกันภายในนานแล้ว ซึ่งเป็นเวลากว่า 3 ปีที่มีการพูดคุยหารือถึงการเปลี่ยนลุคใหม่ให้กับมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าราชมงคลพระนคร หมายความว่าไม่ดี ทว่าทางการตลาดคนภายนอกจะมองว่าเป็นมหาวิทยาลัยอนุรักษ์นิยม นี่จึงเป็นที่มาของแนวคิดการเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยให้ดูทันสมัย ซึ่งต้องใช้เวลาทบทวนอยู่นาน เนื่องจากเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เพราะเดิมที มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลพระนคร เป็นเครือข่ายของ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) และ มทร.นั้น แม้จริงมีต้นกำเนินมาจากสถาบันอาชีวะ กระทั้งปี 2518 มทร.ได้ถูกสร้างขึ้น เพื่อยกระดับจากสถาบันอาชีวะ ให้เป็นระดับการศึกษาในระดับปริญญา ในปี 2519 ซึ่งทุกวิทยาลัยที่เปลี่ยนเป็น มทร.จะมีคำพ่วงท้ายเป็นตัวแทนของวิทยาเขต กระทั้งปี 2548 ได้เกิด พรบ.มทร.ขึ้นมา และมีการแบ่งที่ตั้งของแต่ละที่เกิดเป็นวิทยาเขต ตนเองจึงต้องข้อสงสัยถึงการพัฒนามหาวิทยาลัยได้อย่างไร ในเมื่อเรามีสถานที่ ที่จำกัด จะเปิดคณะใหม่ๆก็จำกัด จะเปิดหลักสูตรปริญญาโทและเอกได้อย่างไร ซึ่งสิ่งนี้ทำให้มีผลต่อคนที่มองเข้ามาว่ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลพระนคร เป็นมหาวิทยาลัยที่มาจากสถาบันอาชีวะเท่านั้น ถึงแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จะทรงแต่งตังชื่อ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคล ขึ้นมาซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติ แต่หากเราแยก 9 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคล ซึ่งเป็นเครือเดียวกัน ออกจากกัน อาจจะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้กับมหาวิทยาลัยให้ดีขึ้นได้ ซึ่งมหาวิทยาลัยพระนคร คือชื่อใหม่ ที่ยังคงอยู่ภายใต้ระบบการศึกษาของภาครัฐ
ส่วนประเด็นที่มีกลุ่มคนนอก เอาประเด็นดังกล่าวไปพูดกับสื่อมวลชนนั้น คาดว่าจะเป็นศิษย์เก่า ซึ่งสมาคมมทร.จะมีสมาคมศิษย์เก่า ซึ่งคนกลุ่มนี้จะยังคงยึดมั่นอยู่กับปี 2518 ของสถาบันอาชีวะ ซึ่งเขาคงลืมไปว่ามันผ่านมานานถึง 40 ปีแล้ว เขาจึงไม่มีสิทธิออกมาวิพากวิจารณ์ เพราะแม้แต่สมาคมศิษย์เก่า มทร.พระนครยังไม่ออกมาพูดถึงการเตรียมที่จะเปลี่ยนชื่อมหาวิยาลัย อีกทั้งสมาคมศิษย์เก่ามีหน้าที่แค่ประสานสัมพันธ์ระหว่างศิษย์เก่าและมหาวิทยาลัย เพื่อช่วยเหลือศิษย์เก่า ซึ่งคนเหล่านี้อาจเป็นผู้เสียผลประโยชน์ จึงพยายามที่จะต่อต้านโดยออกมาให้ข่าวกับสื่อมวลชน พยายามจะแสดงตนว่าตนเองยังเป็นคนของมหาวิทยาลัยอยู่ โดยที่ไม่ใช่หน้าที่ของตนเอง
นอกจากนี้ยังขอยืนยันว่าตนเองไม่ได้ปฏิเสธนามพระราชทาน แต่ขนาดพระราชโองการยังมีการล้มพรบ.เก่า ร่างพรบ.ใหม่ได้ จึงไม่อยากให้ใครไปยึดมั่น ติดมั่น แต่การปรับเปลี่ยนชื่อนั่น มาจากความต้องการที่จะพัฒนาการศึกษาของสถาบัน และทำใจยอมรับว่าความเปลี่ยนแปลง และอาจเกิดผลกระทบในอนาคต แต่จนถึงตอนนี้ได้มีการยื่นเรื่องให้ทางกระทรวงศึกษาธิการรับไปพิจารณาเรียบร้อยแล้ว