หนังสือพิมพ์เดอะวอชิงตันโพสต์รายงานว่า ผู้สื่อข่าวของตนได้ทำการวิเคราะห์เศษขีปนาวุธและภาพถ่ายวิดีโอ เหตุการณ์โจมตีเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ซึ่งได้รับมาจากนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และพบว่า เศษกระสุนปืนใหญ่ 155 มิลลิเมตรจำนวน 3 นัด ถูกยิงไปทางตอนใต้ของเลบานอน กระสุนปืนได้เผาบ้านเรือนอย่างน้อย 4 หลัง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 9 คน ทั้งนี้ ทางผู้สื่อข่าวเดอะวอชิงตันโพสต์ได้พบข้อสังเกต ที่อ้างอิงจากข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญว่า เครื่องหมายบนปลอกกระสุน ยืนยันว่า กระสุนผลิตในสหรัฐในปี 1989 และ 1992 และเครื่องหมายก็ระบุด้วยว่า ปลอกกระสุนมีฟอสฟอรัสขาวอยู่
เดอะวอชิงตันโพสต์ตั้งข้อสังเกตว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ดังกล่าว รวมอยู่ในแพ็คเกจสนับสนุนทางทหารของสหรัฐ ที่มีสำหรับอิสราเอล ซึ่งเพิ่มขึ้นหลังจากสถานการณ์ในตะวันออกกลางเลวร้ายลงในครั้งล่าสุด เดอะวอชิงตันโพสต์ระบุต่อว่า การใช้อาวุธดังกล่าวใกล้กับพื้นที่พลเรือน เป็นสิ่งต้องห้ามตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และควรได้รับการสอบสวนว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม
สำหรับฟอสฟอรัสขาวนั้น ใช้ในการระเบิดเครื่องบิน เป็นกระสุนคลัสเตอร์ที่ยิงทางอากาศ ส่วนผสมของมันก็จัดอยู่ในประเภทอาวุธทั่วไป แต่ในอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยอาวุธตามสัญญาบางประเภทปี 1980 ได้ห้ามไม่ให้มีการใช้อาวุธดังกล่าวกับพลเรือน และสิ่งปลูกสร้างของพลเรือน หรือแม้แต่การโจมตีเป้าหมายทางทหารในพื้นที่พลเรือน ก็ไทม่ได้เช่นกัน ซึ่งทางองค์กรสิทธิมนุษยชนก็เรียกร้องให้มีการจัดประเภทระเบิดฟอสฟอรัสขาว ให้เป็นอาวุธเคมีด้วย
ขณะเดียวกัน ทางด้านนายจอห์น เคอร์บี โฆษกแห่งทำเนียบขาวของสหรัฐ ก็ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เราได้เห็นรายงานเรื่องนี้แล้ว และสหรัฐก็กำลังเป็นกังวลเกี่ยวกับรายงานนี้ ซึ่งก็จะต้องมีการสอบถามเพิ่มเติม ทั้งนี้สำหรับฟอสฟอรัสขาวนั้น ถือว่าเป็นประโยชน์ทางการทหารที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเห็นได้ชัดว่า เมื่อใดก็ตามที่สหรัฐมอบฟอสฟอรัสขาว ให้กับกองทัพอื่นๆ สหรัฐก็เต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างเต็มที่ว่า มันจะถูกนำไปใช้ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมาย และสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยความขัดแย้งด้านอาวุธด้วย