ความเสมอภาคของ “ม็อบสามนิ้ว” โหน “ไฮโซลูกนัท” – เขี่ยทิ้งเด็ก 14 มือขาด

ความเสมอภาคของ "ม็อบสามนิ้ว" โหน "ไฮโซลูกนัท" - เขี่ยทิ้งเด็ก 14 มือขาด

ต้องบอกว่าเหตุการณ์ การบาดเจ็บของผู้เข้าร่วมชุมนุมกลุ่มม็อบสามนิ้ว ทำให้เห็น “ความเหลื่อมล้ำ” ของผู้เข้าร่วมชุมนุมได้อย่างชัดเจน จากการบาดเจ็บของ นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือ ไฮโซลูกนัท ที่ครอบครัว ออกมาแถลงการยืนยันว่า ไฮโซลูกนัท ได้สูญเสียดวงตาข้างขวาแล้ว ขณะที่ เด็กชายอายุ 14 ปี ที่ถูกระเบิดแตกคามือ ในระหว่างการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนเด็กหนุ่มสูญเสียนิ้วมือข้างซ้ายทั้ง 5 นิ้ว จนถึงวันนี้ยังไม่มี “แถลงการณ์” ใดๆ ออกมาจากครอบครัว แถมเด็กชายอายุ 14 ปี ยังไม่อยู่ใน “ความทรงจำ” ของบรรดาแกนนำ “แก๊งสามนิ้ว“ด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านี้ แก๊งม็อบสามนิ้ว อ้างว่าการออกมาชุมนุมทำไปเพื่อเรียกร้อง “ความเสมอภาค” ทุกคนต้องมี “ความเท่าเทียมตามหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นควร “เบิกเนตร” ดูบ้างว่า สิ่งที่ตามหา ทั้งความเสมอภาคและความเท่าเทียม มันไม่มีอยู่จริง เด็กชายอายุ 14 ปี ถูกนำตัวส่งไปรักษาในโรงพยาบาลรัฐ ขณะที่ ไฮโซลูกนัท ถูกนำไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชน แค่นี้ก็เห็นความแตกต่างแล้ว

แถมสิ่งที่แก๊งสามนิ้ว “ตั้งข้อรังเกียจ” อย่างการใช้ “อภิสิทธิ์” ข้ามหัวคนอื่น ยังถูก “ครอบครัวไฮโซลูกนัท” นำมาใช้แบบสบายๆ จะเห็นได้จากเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2564 ไฮโซลูกนัท ได้ปรากฎตัวร่วมพูดคุยในคลับเฮาส์ ในประเด็น หัวข้อ “เมื่อไรจะเห็นแสงสว่าง” โดยได้เปิดเผยถึงอาการบาดเจ็บสาหัส ว่า ตอนนี้ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพญาไท แถมยังยอมรับกลางคลับเฮาส์ ว่า พ่อแม่ ใช้ “อภิสิทธิ์ โคตรอภิสิทธิ์” ตามหาแพทย์ที่เก่งที่สุด มารักษา ไม่อย่างนั้นอาการคงไม่ดีขึ้น จนสามารถมาพูดคุยในคลับเฮาส์ได้

ส่วนเด็กชายอายุ 14 ปี ทีมข่าวท็อปนิวส์ ลงพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ไปตามหา ทราบว่า แม่ของเขาประกอบอาชีพเป็นแม่ค้า หาเช้ากินค่ำ กว่าจะได้เงินมาเลี้ยงชีพแต่ละบาทมันช่างยากเย็นแสนเข็ญ แม่ของเด็กชาย อายุ 14 ปี บอกว่า รู้สึกเสียใจมาก เพราะนอกจากลูกชายจะเสียมือซ้ายไป 1 ข้างแล้ว ยังต้องมาติดเชื้อโควิด 19 อีก ตอนนี้จึงทำได้แค่ ใช้เวลาดูแลลูกชายที่กลายเป็นคน “พิการ

จะเห็นได้ว่า สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันนี้ สะท้อนให้เห็น “ความต่าง” ระหว่าง “คนจน” กับ “คนรวย” ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุดและเหตุการณ์นี้ ยังย้ำให้เห็นว่า ไม่มีหรอก “ความเสมอภาค” และ “ความเท่าเทียม” ดังนั้นเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทุกคนในสังคม โดยเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองที่ “ปล่อย” ให้บุตรหลานออกมาร่วมชุมนุมควรจะรีบพูดคุย ทำความเข้าใจกับบุตรหลานว่า อย่าตกเหยื่อ และอย่ายอมเป็นเครื่องมือ ทางการเมือง ของกลุ่มคนที่ชักใยอยู่ข้างหลัง เพราะท้ายที่สุดแล้วหากเกิดอะไรขึ้น คนที่เสียใจมากที่สุดก็คือคนเป็นพ่อ เป็นแม่ นั่นเอง

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

วัดแสงแก้วโพธิญาณ เชิญร่วมบุญใหญ่ กฐินสามัคคี 11-12 ต.ค. 68 รับพระพุทธรูปมงคล-เหรียญมหาปราบสุดพิเศษ
ทหารไทย สั่ง "ทหารกัมพูชา 5 นาย" ออกจากพื้นที่ช่องอานม้า หลังพบตัดรั้วลวดหนามในเขตไทย แจ้งเตือน-ถอยร่นกลับทันที
วธ.เฉลิมพระเกียรติ "สมเด็จพระพันปีหลวง" จัดนิทรรศการ "ชุดไทยพระราชนิยม" อาภรณ์แห่งพระราชปณิธาน งามสง่าคู่แผ่นดินไทย ยกระดับการแต่งกายสตรีไทย เสนอ UNESCO ให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับสากล
อีสท์ วอเตอร์ จัดสรรงบประมาณ 2.7 ล้านบาทเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตามรอบสูบน้ำบางปะกง ปี 67 พร้อมนำสื่อมวลชนเยี่ยมชมสถานีสูบน้ำฉะเชิงเทรา เพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน
"สุดาวรรณ" ขอบคุณจุฬาฯ–มทร.อีสาน-ม.มหาสารคาม ประกาศช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียสละป้องอธิปไตยชายแดนไทย–กัมพูชา
"มทภ.2" เยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติ พร้อมเปลี่ยนธงชาติผืนใหญ่กว่าเดิม

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​