“ยุบ-ควบ-ออก” จับตาพรรคการเมือง “แต่งตัว-จัดทรง” ก่อนเลือกตั้ง

พรรคเล็กหนีตายสูตรหาร 100 พรรคขนาดกลางหาแนวร่วมเสริมจุดแข็งให้ตัวเอง  “แต่งตัว-จัดทรง” ก่อนเลือกตั้ง  ลุ้นคดีประยุทธ์ในศาลรัฐธรรมนูญ  นับถอยหลังไม่ถึง 7 เดือนครบอายุสภาผู้แทนราษฎร  ยังไงก็ต้องมียุบสภา เดินหน้าเลือกตั้งแน่ จับตาพรรคขนาดกลางพรรคขนาดเล็ก รวมพรรคดิ้นหาทางรอด   

ต้องบอกว่าการเมืองช่วงนี้กลับมาร้อนแรงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ถูกศาลรัฐธรรมนูญออกคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราวตั้งแต่ 24 ส.ค.2565 ที่ผ่านมา  แค่นั้นไม่พอเจ้าตัวยังต้องลุ้นผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคำร้องที่ส.ส.ฝ่ายค้านยื่นให้ตีความการดำรงตำแหน่งนายกฯไม่เกิน 8 ปี สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมาแล้วหรือไม่

ล่าสุดคดีความปมตีความ 8 ปี ที่จะตัวกำหนดชี้เป็นชี้ตายอนาคตของพล.อ.ประยุทธ์ว่าจะ “ไปต่อ” หรือ “พอแค่นี้” และจะเป็นคดีประวัติศาสตร์สำคัญทางการเมืองอย่างแน่นอนก็มีความคืบหน้าไปมาก    ข่าวว่าศาลได้รับข้อมูลพยานจากฝ่ายค้านในฐานะผู้ร้องเพิ่มแล้ว     ฝ่ายพล.อ.ประยุทธ์ในฐานะผู้ถูกร้องก็สั่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาไปให้ศาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว   ขณะที่พยานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคำร้องเรื่องนี้  ที่มีข่าวว่าศาลขอให้อาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และ ปกรณ์ ลิมปะพันธุ์ อดีตเลขานุการกรธ.ส่งคำชี้แจงมาให้ศาลก็ส่งมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  นั้นจึงทำให้ปรากฎข่าวว่าศาลเตรียมนัดประชุมนัดพิเศษในวันพฤหัสบดีที่ 8 ก.ย.นี้ เพื่อพิจารณาว่าข้อมูลทั้งหมดครบถ้วนพอที่จะลงมติได้หรือไม่ ถ้ามีน้ำหนักว่าพอฟันธงได้ไม่เกิน 15 วัน ศาลจะนัดลงมติ  บวกลบคูณหารไม่น่าเกินสิ้นเดือนก.ย. อนาคตบิ๊กตู่น่าจะรู้เรื่อง  ทั้งหลายทั้งมวลจึงทำให้การเมืองในช่วงนี้เขม็งเกลียวขึ้นเรื่อยๆ

เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวทางการเมือง ล่าสุดหลายพรรคก็เริ่มขยับแต่งตัวเตรียมความพร้อมรับมือ “อุบัติเหตุ” ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต   โดยเฉพาะหากพล.อ.ประยุทธ์เกิดสะดุดไม่ได้ไปต่อ   โอกาสจะ “ยุบสภา” จัดการเลือกตั้งใหม่เร็วขึ้นก็มีความเป็นไปได้สูง  หรือหากไม่มี “ตัวเร่ง” จากกรณีพล.อ.ประยุทธ์   ยังไงเสียก่อนหน้า 23 มี.ค.2566 ซึ่งจะเป็นวันครบรอบ 4 ปีของสภาผู้แทนราษฎร  ก็เป็นไฟล์บังคับให้ต้องมีการยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่อยู่แล้ว  ด้วยเหตุนี้พรรคการเมืองต่างๆจึงต้องขยับตัวกันไวขึ้น เพราะไม่รู้ว่าวัน น. เวลา ว. ในการเลือกตั้งจะมาถึงเมื่อไหร่ แต่ไม่เกิน 7 เดือนนี้แน่นอน  ตั้งแต่ก.ย.- มี.ค. 2566  นอกจากนี้กรณีที่สูตรเลือกตั้งกลับไปใช้แบบหาร 100 ตรงนี้ก็ยิ่งทำให้พรรคการเมืองขนาดเล็กมีโอกาสไปต่อได้น้อย   ทางรอดแทบไม่มีให้เดินกันเลย ตรงนี้ก็ทำให้พรรคเล็กหลายพรรคต้องคิดถึงอนาคตและทางรอดของตัวเองก่อน  หากไม่ยุบพรรคไปรวมกันพรรคใหญ่ ก็ต้องหาทางรอดหนีตายกันเอาเอง ด้วยเหตุนี้หลายพรรคการเมืองทั่งวงการจึงขยับตัวกันคึกคักเป็นพิเศษ แต่ที่ออกตัวเร็วแต่งตัวไวกว่าใครเพื่อนก็คงหนีไม่พ้นพรรคชาติพัฒนาของ “เสี่ยสุวัจน์”  สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนาที่เปิดหน้างัดยุทธศาสตร์ “ควบ-รวม” จัดการดึง กรณ์ จาติกวณิช  หัวหน้าพรรคกล้ามาคุมเศรษฐกิจ แต่อนาคตก็วางตัวกรณ์ให้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคชาติพัฒนาคนใหม่  โดยจะขยับน้องชายอย่างเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาคนปัจจุบันไปเป็นเลขาธิการพรรคแทน  แล้วก็เอาจุดขายความเป็นมือเศรษฐกิจ เอาดีกรีอดีตขุนคลัง อดีตประธาน บ.เจพี มอร์แกน ประเทศไทย ของกรณ์มาเป็นจุดขาย

ต่างฝ่ายต่างก็น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ปิดจุดอ่อนเสริมจุดแข็งให้แก่กัน  ในส่วนของพรรคชาติพัฒนานั้น   ต้องบอกว่าการเมืองช่วงหลังอ่อนแรงไปมาก   ไม่เหมือนสมัยยุครุ่งเรืองเฟื่องฟูช่วง “น้าชาติ” พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกฯ  ที่เป็นพรรคสีสันแม่เหล็กทางการเมือง  แต่มาตอนนี้ กลายเป็นพรรค  “กระสุน” ไม่ถึง “กระแส” ไม่ดี   เลือกตั้งคราวที่แล้ว  24 มี.ค.2562 ได้ส.ส.มาแค่ 3 คน เป็นส.ส.เขต 1 คน จากโคราช และ ส.ส.บัญชีรายชื่ออีก  2 คน  คะแนนพรรคทั่วประเทศกวาดมาหยุมหยิมแค่  251,301 คะแนน ในจำนวนนี้ได้จากอีสานไปถึง 145,433 คะแนน  จะเห็นได้ว่าอนาคตของพรรคค่อนข้างมืดมน  เพราะไม่มี “จุดขาย” ที่แน่ชัด   รอบนี้เสี่ยสุวัจน์เลยกะเอาแบรนด์ “หล่อก้านยาว”  มีกึ๋นเศรษฐกิจอย่างกรณ์มาเป็นตัวชูโรง ขณะที่ฝากฝ่ายกรณ์หลังออกจากพรรคประชาธิปัตย์มา  แรกๆทำท่าเหมือนจะดี  แต่หลังๆออกแนวทรงๆทรุดๆ แม้ไอเดียจะกระฉูดหัวคิดแก้ไขปัญหาหลายเรื่องดี  แต่พรรคการเมืองที่เป็นฐานเล็กเกินไปโอกาสใหญ่โตแทบไม่มี  เห็นได้ชัดกรณีที่พรรคกล้าส่งผู้สมัครหลายเขตก่อนหน้านี้  ทั้งกรุงเทพฯและภาคใต้เสียงตอบรับ “แผ่วเบา” มากๆ  ได้คะแนนแค่หลักพัน  ความนิยมจากกรณ์เปล่งแสงไม่พอไปถึงลูกพรรค  แม้จะเป็นพรรคคนรุ่นใหม่แต่ยังขาดปัจจัยหลายอย่างเกื้อหนุน  อยู่พรรคกล้าต่อไปกรณ์มีหวังอับแสงรอวันบ๊ายบายทางการเมืองอยู่ได้แต่ไม่โต  การออกมาผนึกกำลังกับสุวัจน์  จึงน่าจะทำให้กรณ์ได้ลืมตาอ้าปาก พูดอะไรมีน้ำหนัก  มีฐานพรรคสนับสนุนพอสมควร อย่างน้อยก็เป็นพรรคเก่าแก่ทางการเมือง ยังไง “น้ำหนัก” กับ “ภาษี” และโดยเฉพาะคะแนนนิยมก็ต้องดีกว่าพรรคกล้าอยู่แล้ว  ที่สำคัญการได้กรณ์มาก็น่าจะช่วยให้ฐานพรรคชาติพัฒนาในกทม.คงดีขึ้นจากคราวที่แล้ว 30 เขตในกรุงเทพได้คะแนนไปแค่ 7,593 คะแนนเท่านั้น

ขณะนี้ก็เหลือแค่ขั้นตอนการควบรวมพรรค  ที่ต้องค่อยเป็นค่อยไปเพราะจู่ๆจะไปทำอะไรเอิกเริกคงไม่ได้เพราะกกต.มีระเบียบมีข้อห้ามในเรื่องของการ “ฮุบพรรค” หรือ “ยุบพรรค” อื่นๆไปรวมกันแบบตามใจฉันไม่ได้      จู่ๆพรรคที่มีส.ส.จะไปกินรวบพรรคเล็กอื่น เข้ามารวมกับตัวเองแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเหมือนยุคทักษิณเทอม 2 สมัยพรรคไทยรักไทย   ที่ตอนนั้นมีการกวาดต้อนส.ส.ทุกพรรคทุกคอกทุกมุ้งมาอยู่กับพรรคนายใหญ่คนแดนไกลนักโทษหนีคดี  จนทำให้ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายชนิดแลนด์สไลด์ได้ส.ส.ไปถึง 377 คน แบบนั้นไม่ได้   เรื่องนี้สุวัจน์กับกรณ์ต้องระวัง ทำอะไรบุ่มบ่ามตามอำเภอใจ  ระวังเสี่ยงถูกยุบพรรคเอาง่ายๆ  ล่าสุด “พี่ศรี” ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยกก้ไปยื่นกกต.ให้ตรวจสอบการควบรวมกันครั้งนี้ของสุวัจน์กับกรณ์   จากนี้คงต้องตามดูชนิดห้ามกระพริบตาว่าการรวมกันครั้งนี้จะไปรอดไหม  และอนาคตพรรคกล้าที่กรณ์ลงทุนลงแรงตั้งมาจะเป็นอย่างไร   แล้วบรรดาแกนนำเบอร์ใหญ่ๆ ของพรรคกล้าอย่าง อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค หรือ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ  อดีตรองนายกฯ ซึ่งมารับบทประธานยุทธศาสตร์พรรคจะลาออกและลุกหนีจากพรรคกล้าไปร่วมหอลงโรงกับพรรคชาติพัฒนาของสุวัจน์ไหม   ขณะเดียวกันก็ต้องติดตามกระแส “ยุบ -ควบ-ลาออก” ที่จากนี้จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทุกพรรคต้อง  “จัดทรง” ให้ดีสุดก่อนลงสนามเลือกตั้ง

ล่าสุดก็มีข่าวแววว่าพรรคไทยสร้างไทยของ “เจ๊หน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ แอบเลียบๆเคียงๆ พรรคเสรีรวมไทยของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เข้ามาควบรวมกันด้วย เท็จจริงยังไม่รู้แต่กระแสข่าวออกมาแบบนี้  อย่าลืมว่า  รัฐธรรมนูญ ม. 159 ระบุว่า บัญชีรายชื่อนายกฯของพรรคการเมืองแต่ละพรรคที่จะเสนอชื่อนายกฯได้  ต้องเป็นพรรคการเมืองที่มีสมาชิกได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ไม่น้อยกว่า 5% ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ กล่าวคือ จากจำนวน ส.ส. ทั้งหมด 500 คน พรรคการเมืองนั้นต้องมี ส.ส. อย่างน้อย 25 คน จึงจะมีสิทธิเสนอชื่อนายกฯได้  รอบก่อนพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ตกสำรวจนายกฯก็เพราะเรื่องนี้   เที่ยวหน้าเลยไม่รู้ว่าจะผ่านเงื่อนไขตรงนี้เหรือป่าว เพราะฉะนั้นต้องจับตาการเมืองจากนี้ไปแบบรัวๆ  พรรคใหม่อีก 2 พรรคคือ พรรคไทยสร้างไทยกับพรรคสร้างอนาคตไทยก็เตรียมเปิดตัว  สุดารัตน์กับสมคิด จาตุศรีพิทักษ์  ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกฯ  วันสองวันนี้  จับตาการเมืองเดือนกันยาร้อนปรอทแตก

 

//////////////////////

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เปิดอานุภาพ "ขีปนาวุธ GAM-102LR" ผลิตโดยจีน ทหารไทยยึดจากเขมร บนสมรภูมิเนิน 677 ช่องอานม้า อึ้งราคาลูกละกว่า 3.5 ล้านบาท
“รมว.ซาบีดา” เปิด "งานเทศกาลปลาไหล ผ้าไหม ข้าวใหม่หอมมะลิ และงานกาชาดชุมพลบุรี ประจำปี 2568" หนุนพื้นที่การท่องเที่ยววัฒนธรรมใหม่ในชุมชน
สมุทรสาคร///พรรครวมไทยสร้างชาติ ประชุมแต่งตั้งตัวแทนพรรค ประจำจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมปักหมุด 3 สมุทร ว่าที่ผู้สมัคร
ด่วน มติ "กองทัพไทย" ร่วม ศบท. ส่งสมช.เห็นชอบ ยกระดับควบคุมอ่าวไทย ปิดกั้นการขนส่งเชื้อเพลิง ยุทธปัจจัยไปยังกัมพูชา
"กรมการจัดหางาน" จับมือ Outsourcing Service เปิดลงทะเบียนแรงงานต่างด้าวสถานะไม่ถูกต้องตาม กม. วันแรกยื่นคำขอฯ มากกว่า 65,000 ราย
ผู้ว่าโคราชเปิดงาน “มหกรรมยานยนต์โลจิสติกส์ 2025” ผลักดันอีสานสู่ศูนย์กลางเทคโนโลยีขนส่งแห่งอนาคต

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​