จับมือ ฟื้น MOU ให้ความรู้กฎหมายประชาชน

สภาทนายความฯ จับมือ ผู้ตรวจการแผ่นดิน เตรียมขยายและฟื้น MOU ความร่วมมือให้ความรู้ด้านกฎหมายประชาชน พัฒนาศักยภาพทนายความก่อนยื่นมือช่วยเหลือประชาชนด้านกฎหมาย ให้เกิดความทั่วถึง เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

วันที่ 7 ก.ค. 65 ว่าที่ร้อยตรี ดร.ถวัลย์ รุยาพร นายกสภาทนายความ พร้อมด้วย นายอนุพร อรุณรัตน์ ที่ปรึกษานายกสภาทนายความ นายกองตรีดร.ธนพล คงเจี้ยง นายวิทยา ทองกุ้ง พร้อมคณะเข้าพบหารือกับ พันตำรวจโท กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ศูนย์ราชการฯ

โดยเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า ที่ผ่านมามีประชาชนเข้ามาร้องเรียนโดยตรงต่อผู้ตรวจการแผ่นดินจำนวนมากแต่เนื่องจากผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีสำนักงานทั่วประเทศจึงได้หารือกับสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ที่มีสภาทนายความแต่ละจังหวัด และสภาทนายความส่วนกลาง เพื่อจะร่วมมือกันให้ความช่วยเหลือประชาชนด้านกฎหมายได้อย่างทั่วถึง และเป็นการทำงานเชิงรุก ซึ่งทางสภาทนายความและผู้ตรวจการแผ่นดินได้เคยทำข้อตกลง MOU การให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่ประชาชนมาแล้วเมื่อปี 2545 จึงต้องยกร่างความตกลงร่วมมือกันเพิ่มเติมเพื่อจะสามารถให้บริการความช่วยเหลือทางกฏหมายเยียวยาความทุกข์ร้อนของประชาชนจากความไม่เป็นธรรมและความไม่ชอบด้วยกฎหมายให้เกิดความสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และเห็นว่าควรใช้ระบบไกล่เกลี่ยมาใช้เพื่อจะ เกิดประโยชน์มากกว่าการฟ้องเป็นคดี เพื่อให้เกิดการแก้ไขโดยเร็วไม่ใช้เวลานาน

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ขณะที่ นายกสภาทนายความ เห็นพ้องกันว่าทั้งสองหน่วยงานควรร่วมมือกันแก้ปัญหาในเชิงรุกเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนทางกฎหมายได้อย่างทั่วถึงเป็นธรรม โดยเห็นควรมีการพัฒนา MOU ต่อยอดจากฉบับเดิม ให้ขอบเขตการทำงานร่วมกันมากขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์ต่อทั้งสององค์กรในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาให้กับประชาชน ทั้งนี้ทนายความทั่วประเทศปัจจุบันมีอยู่ 84,000 คนและทนายความอาสามีกว่า 10,000 คนทั่วประเทศ ขณะนี้ได้ให้ทนายความอาสาไปนั่งประจำสถานีตำรวจจำนวน 203 สถานีแล้ว ซึ่งจะต้องของบประมาณจากภาครัฐเพื่อขยายต่อให้ทั่วถึงทั่วประเทศ นอกจากนี้เห็นควรให้พัฒนาศักยภาพทนายความและทนายความอาสาทนายความขอแรงด้านวิชาการการอบรมข้อกฎหมายความรู้เชิงลึก ให้เกิดความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านก่อนจะออกไปช่วยเหลือประชาชน

 

เช่นเดียวกับ นายอนุพร กล่าวว่า ควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุในเชิงพัฒนา มากกว่าการเยียวยา การพัฒนาคือการให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่ประชาชนมากยิ่งขึ้นและให้ประชาชนได้เข้าถึงที่ปรึกษาทางกฎหมายอย่างทั่วถึง เพิ่มช่องทางการให้ความรู้เกี่ยวกับข้อกฎหมายแก่ประชาชนมากยิ่งขึ้น เมื่อประชาชนเข้าถึงและรู้กฎหมาย ถือเป็นการป้องกันปัญหาที่ต้นเหตุ และจะทำให้ประเทศพัฒนามากยิ่งขึ้น

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"นันทิวัฒน์" ซัดเจ็บพรรคส้มจัดอีเว้นต์ ขอกำลังใจเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ทั้ง ๆ โง่เองซ้ำซาก ฟันธงถ้าพี่ทึ่ม เป็นนายกฯคงแพ้เขมรยับเยิน
"แม่ทัพภาคที่ 4" สดุดี "พลฯมุสตากีม มาเจ๊ะมะ" วีรบุรุษนักรบจากแดนใต้ อาสาเดินทางไกลไปป้องชายแดนไทย ลุยสมรภูมิภูมะเขือ ก่อนพลีชีพบนเนิน 677 ช่องอานม้า
เคาะแล้ว! พรรคเพื่อไทย จ่อเปิดตัว “ส.จ.แบงค์” ชิงสนามเลือกตั้ง ส.ส.เขต 3 โคราช หลังมีภาพร่วมเฟรมกลุ่มบ้านใหญ่โคราช
"โฆษกทร." ยันจำเป็นถล่มฐานยิงปืนใหญ่เขมร บนเกาะยอ ย้ำเป็นภัยคุกคามทหาร คนไทยชายแดนตราด
ตม.สั่งสกัดเข้ม "กัมพูชา-กลุ่มทหารรับจ้าง" ใช้ฟรีวีซ่าเข้าไทย ปฏิบัติการเป็นภัยความมั่นคง ขอนทท.ต่างชาติ เข้าใจสถานการณ์
เริ่มแล้ว มาตรการ "กองทัพภาคที่ 2" ควบคุมการส่งเชื้อเพลิง ยุทธปัจจัย ไปกัมพูชา จับพิรุธขบวนรถน้ำมันส่งลาว เข้าคิวข้ามด่านช่องเม็กลาวยาวเหยียด

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​