“ข่าวลือ-ข่าวปล่อย” กรณี“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ อาจตัดสินใจลงมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐด้วยตัวเอง เพื่อให้เกิดเอกภาพและได้ประโยชน์สูงสุดสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในคราวหน้า ที่เปรียบเสมือน “สงครามชิงเมือง” ที่มิอาจพ่ายแพ้ได้ โดยจะมีการขยับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคนปัจจุบันขึ้นหิ้งไปเป็นประธานที่ปรึกษาพรรค ล่าสุดดูเหมือนพล.อ.ประยุทธ์จะอ่านเกมส์ออกมองสถานการณ์ขาดว่าไม่ควรชิงสุกก่อนห่ามแต่อย่างใด เพราะไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเร่งรัดที่จะตัดสินใจในเรื่องนี้ ด้วยเหตุที่ยังพอมีเวลาให้คิดอ่านมองการณ์อีกไกล ไม่ต้องรีบเอะอะมะเทิ่งทำอะไรให้เสียงานใหญ่หรือบุ่มบ่ามทำอะไรที่ใจร้อนไป อย่างน้อยรอให้มรสุมหรือเมฆหมอกอะไรมันชัดเจนก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย วานนี้นายกฯจึงออกตัวในทำนองแบ่งรับแบ่งสู้ไม่ให้น่าเกลียด “ ตอนนี้ยังไม่คิดไกลไปขนาดนั้น เอาแค่ประคับประคองรัฐบาลนี้ให้ครบวาระ ส่วนเรื่องวันหน้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับประชาชน” บิ๊กตู่ระบุ ขณะที่ก่อนหน้านี้ก็พูดเป็นนัยตอนลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต ขออภัยคนไทยที่ต้องอยู่นานเพราะมีเรื่องสำคัญๆให้ต้องทำเยอะ ขณะที่ฝากฝั่ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคนปัจจุบันก็ออกอาการหัวเสียเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะคุยกับบิ๊กตู่ตลอดเจอนายกฯทุกวันแต่ก็ไม่เคยมีการคุยเรื่องนี้กันเลย “จะมาเสี้ยมให้แตกกันทำไม” ลุงป้อมสะท้อนใจระหว่างประชุมวอร์รูมกับลูกพรรค ณ มูลนิธิป่ารอยต่อ ภายใน ร. ๑ รอ. เย็นวานนี้
ขณะที่ขั้วตรงข้ามฝ่ายทักษิณก็ออกมาแซะในเรื่องนี้กันขนานใหญ่ หัวขบวนเจ้าของคอกอย่าง ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีคนแดนไกล ซึ่งขณะนี้อยู่ที่สิงคโปร์ พูดเรื่องนี้ผ่านรายการ CareTalk X Clubhouse หัวข้อ “ราชการไทย ทำดีก็ได้ ทำไวก็เป็น’ ช่วงค่ำวานนี้ความว่า “ ไม่ทราบว่าเป็นการปล่อยไก่หรืออย่างไร แต่ส่วนตัวคิดว่าพล.อ.ประวิตร คงไม่ยอม แต่หากเป็นความจริงที่พล.อ.ประยุทธ์คิดจะเป็นนายกฯ จะลงเลือกตั้ง เพราะมั่นใจว่าความนิยมยังสูง มีผลงานเยอะ ลองไปปรึกษาพล.ต.อ.เอกอัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จะได้เข้าใจอะไรได้มากขึ้น” ขณะที่ลูกหาบคอกเพื่อไทยอย่าง ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคก็ออกมารับลูกเจ้านายพร้อมพูดไปทางเดียวกัน “ ก็อยากให้เป็นอย่างนั้น อย่าเป็นอีแอบ อยู่ข้างหลัง คือนักการเมืองในยุคปัจจุบันต้องโปร่งใส อย่าไปอยู่เบื้องหลัง ไม่เหนียมอายถ้าจะมาเล่นการเมือง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรพรรคเพื่อไทยก็พร้อมสู้เต็มที่ ” ไม่รู้ร้อนใจหรือร้อนตัวที่เห็นสัญญาณจากพล.อ.ประยุทธ์ขยับทางการเมืองแบบนี้
แต่ดูทรงจากกรณีที่ชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ น้องชาย “แรมโบ้อีสาน” เสกสกล อัตถาวงศ์ รวมถึง ไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกมายืนกรานว่าแรมโบ้ได้ยื่นใบสมัครสมาชิกพรรคแบบตลอดชีพ พร้อมจ่ายค่าสมัครสองพันบาท ก็ถือว่าได้กลับมาเป็นสมาชิกพรรคอีกครั้งแล้ว หากเป็นไปตามนี้ก็แสดงว่าแนวคิดเรื่องดันพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นพรรคสำรองเป็นพรรคอะไหล่ทางการเมืองของนายกฯก็คง “แท้ง” ไปเสียแล้ว ซึ่งก็น่าจะเป็นไปตามนั้น หลังข่าวคราวของพรรคเงียบหายลงไปหลังแจ้งแรมโบ้เจอพิษแก้ปัญหาหวยจนทำให้ต้องประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบ แม้จะมีความพยายามอยากเก็บพรรครวมไทยสร้างชาติให้ไปต่อ เพราะพล.อ.ประยุทธ์ยังมีตัวเลือกอื่นให้หยิบขึ้นมารันพรรคไปต่อได้อย่าง “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ไขก๊อกออกจากพรรคพลังประชารัฐไปแล้ว แต่ดูเหมือนโอกาสในการหยิบพรรครวมไทยสร้างชาติมาเป็นพรรคอะไหล่พรรคสำรองคงน้อยไปแล้วเพราะดูจะเกิดเรื่องและปัญหามาตลอด จะเรียกว่าลางไม่ดีฤกษ์ไม่งามก็ว่าได้ และยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้นหลังแรมโบ้ลาทิ้งพรรครวมไทยสร้างชาติแล้วกลับมาตายรังเก่ากลับมาซบพรรคพลังประชารัฐ ตามสโลแกนที่เจ้าตัวพูดมาตลอดว่า “นายไปพรรคไหน นายกฯอยู่พรรคไหน ผมก็ไปพรรคนั้น” ตีความการกลับคืนบ้านหลังเก่าของแรมโบ้ได้ว่าอนาคตอันใกล้พล.อ.ประยุทธ์ก็คงเข้ามาอยู่ในพรรคพลังประชารัฐแน่ๆ ส่วนจะเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคหรือจะควบเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐด้วยเลยอันนั้นก็ต้องอยู่ที่ยุทธศาสตร์ของ ๓ ป.ว่าจะคิดอ่านทำการอย่างไร แต่ไม่ว่าออกหน้าไหนเชื่อแน่ว่าหากพล.อ.ปรยุทธ์ต้องการไปต่อในการเลือกตั้งทั่วไปคราวหน้า ที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นปลายปีนี้ ๒๕๖๕ หรือ ต้นปี ๒๕๖๖ เจ้าตัวต้องลงมาคลุกวงในมาทำอะไรมากกว่านี้ ไม่ใช่อยู่ลอยๆ แล้วรอการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯอย่างเดียวเหมือนการเลือกตั้งเมื่อ ๒๔ มี.ค. ๒๕๖๒
อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้พรรคพลังประชารัฐเสียหายเสื่อมทรุดไปมาก นับตั้งแต่ “ผู้กอง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก้าวขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคเมื่อ ๑๘ มิ.ย. ๒๕๖๔ หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องราวร้าวฉานไม่หยุดหย่อนภายในพรรค ส่งผลให้พรรคพลังประชารัฐที่เคยได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงเลือกตั้งทั่วไปคราวที่แล้ว กลับกลายเป็นตกต่ำน่าใจหาย ความพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกิดขึ้นคงเป็นคำตอบได้ดี นับตั้งแต่พ่ายเลือกตั้งซ่อม เขต ๖ จ.สงขลา , เขต ๑ จ.ชุมพร ,เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ และล่าสุดคือการพ่ายแพ้ยับเยินในสนามเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) จาก ๕๐ เขต พรรคได้ส.ก.ไปแค่ ๒ เขต จากเดิมที่ได้คะแนนเลือกตั้งส.ส.ตอน ๒๔ มี.ค. ๒๕๖๒ ไปถึง ๗๙๑,๘๒๑ คะแนน กวาดส.ส.กทม.มา ๑๒ คน แต่มาวันนี้เลือกตั้งส.ก.ล่าสุดได้คะแนนไปแค่ ๒๗๔,๒๔๔ คะแนน ได้ส.ก.มาจุ๋มจิ๋มแค่ ๒ คน ตรงนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนเบื่อพรรคพลังประชารัฐ คนไม่เอาพรรคลุงป้อม เพราะขัดแย้งแตกแยกกันมาสารพัดเรื่อง เละตุ่มแป๊ะชนิดกู่ไม่กลับ ส่วนหนึ่งก็มาจากฝีมือผู้กอง อีกส่วนก็ต้องบอกว่ามาจากความไม่เด็ดขาดของบิ๊กป้อมเอง ที่คอนโทรลการเมืองในพรรคไม่ได้จนทำให้พรรคเละวุ่นวายไปหมด
แนวคิดในการนำพล.อ.ประยุทธ์ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐคนใหม่ก็หวังต้องการมาเรียกศรัทธาฟื้นความเชื่อมั่นกันใหม่นั้นแหละ เพราะบิ๊กตู่ยังขายได้ขณะที่บิ๊กป้อมก็เหมือนของเก่าที่หมดอายุไปแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงมีความพยายามที่จะผลักดันนายกฯชูบิ๊กตู่ขึ้นมาเป็น “จุดขาย” ของพรรคในการเลือกตั้งคราวหน้า แต่อำนาจสิทธิ์ขาดและการดูแลทุกมุ้งในพรรคก็ยังอยู่ในมือบิ๊กป้อมนั้นแหละ อย่าลืมว่าถ้าพล.อ.ประยุทธ์เข้ามาในพรรคไม่ว่าจะเป็นสมาชิกพรรคธรรมดาหรือเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรค ยังไงบัญชีแคนดิเดตนายกฯของพรรคก็เสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์เป็นเต็ง ๑ อยู่แล้ว แต่ถ้าหากนายกฯตัดสินใจลงมาอยู่กับพรรคจริงๆ ตรงนี้ก็จะทำให้พรรคกระปรี้กระเปร่ามีความกระชุ่มกระชวยมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงหาเสียง อย่างน้อยก็มีของขายมีเรื่องเอาไปหาคะแนนจากชาวบ้านได้อีกพะเรอเกวียน ลองคิดภาพบิ๊กตู่ขึ้นเวทีหาเสียงได้ลงพื้นที่ขี่อีแต๋นแฉ่งรถมอเตอร์ไวด์ไปจับไม้จับมือถามสารทุกข์สุกดิบกับชาวบ้าน พรรคพลังประชารัฐก็น่าจะได้อานิสงฆ์จากความนิยมในตัวบิ๊กตู่ช่วยทำให้มีแรงฮึดมีคะแนนเสียงตีตื้นขึ้นมาได้อีกมากโข อย่าลืมว่าพล.อ.ประยุทธ์ยังเป็นแม่เหล็กเป็นดาวฤกษ์ทางการเมือง ในกรุงเทพฯอาจจะกระแสตก แต่ในต่างจังหวัดและหัวเมืองชื่อบิ๊กตู่ยังมีมนตร์ขลังยังขายได้อยู่แน่นอน
รีโนเวทพรรคใหม่เขียนนโยบายดีๆหาผู้สมัครแต่ละเขตให้ดี เอาคนในพื้นที่ชาวบ้านชื่นชมและศรัทธาอัดนโยบายช่วยชาวบ้านหนักๆถี่ๆให้มากหน่อย โอกาสลุ้นกลับมาเป็นนายกฯ สมัย ๓ สร้างแฮททริกผู้นำประเทศก็ยังมีลุ้นอยู่ เชื้อเชิญคนเก่งรวมพลังคนดีมาช่วยพรรคมาบริหารประเทศกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเคยอยู่พรรคไหนฝ่ายใด เชื่อแน่ว่าก็ยังพอลุ้นสู้กับพรรคเพื่อไทยฝ่ายทักษิณได้อยู่ เพราะชื่อดังๆ อย่าง “จั้ม” สกลธี ภัททิยกุล , “ตั้น” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ , “บี”พุทธิพงษ์ ปุณณกัณต์ , “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา , “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รวมถึงคนที่มีข่าวเคยทาบทามอย่าง วิทยา แก้วภราดรัย , ชุมพล จุลใส จากพรรคประชาธิปัตย์ บวกกับลูกหม้อนายกฯอย่าง เสกสกล พีระพันธุ์ ฯลฯ ก็ยังพอเป็นความหวังให้กับชาวบ้านเป็นตัวแทนของพรรคพลังประชารัฐได้อยู่ ตอนนี้แขน ขา ลำตัว พร้อมหมดแล้ว รอแต่หัวอย่างพล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจครั้งสำคัญช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองจะไปต่อหรือจะพอแค่นี้เท่านั้นเอง พร้อมเมื่อไหร่ทุกคนในพรรคพลังประชารัฐและสายตรงก๊วนนายกฯก็พร้อมลงสู่สนามเลือกตั้งอยู่แล้ว
///////