จากกรณีที่มีการแชร์เรื่องราวบนเฟสบุ๊กของแม่ค้ารายหนึ่ง ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง และอ้างว่าเป็นร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการของรัฐบาล “#คนละครึ่งเป็นเหตุสังเกตได้ พบผู้ร่วมชะตากรรม ณ ที่ว่าการอำเภออีกเพียบ บางร้านผู้เฒ่าผู้แก่มาแบบงง..งง อิหยังวะ ส่ง จม. มาบ้าน เพื่อเรียกเก็บภาษีย้อนหลังเสยยย.. หนาวเลยตรู #พบกันหน้าอำเภอ #คนละครึ่ง_เราชนะ_เรารักกัน_ม33 ทำให้คนหลายคนมาเจอกัน โพดโพ..สเตทเม้นท์ย้อนหลัง 1 ปี สรุปผล..โดนภาษีย้อนหลังปี 63 (ไม่รวมปีนี้ 64) ยอดที่ต้องเสียทั้งหมด 92,257 บาท ต้องทำยังไงดี ใครจะมีจ่ายขนาดนั้น”
ล่าสุด นางสมหมาย ศิริอุดมเศรษฐ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร เปิดเผยกรณีดังกล่าวผ่านสำนักข่าว topnews ระบุว่า การจ่ายภาษีเงินได้ของรายได้ปี 2563 ไม่ใช่เป็นการเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง แต่เป็นการจ่ายภาษีตามปกติ เนื่องจากรายได้ของปี 2563 จะต้องยื่นแบบภาษีเงินได้ภายในเดือนมีนาคม 2564 แต่ทางรัฐบาลได้เลื่อนการยื่นผ่านระบบออนไลน์ออกไปจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ จึงขอยืนยันว่า กรณีที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่สรรพากรไม่ได้ทำการเก็บภาษีย้อนหลังอย่างใด
อีกทั้งการเรียกเก็บภาษีของแม่ค้าคนดังกล่าว ก็เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของกฎหมายการยื่นภาษีสรรพากร เพราะตามหลักแล้วผู้ที่มีรายได้จากการค้าขายเกิด 60,000 ขึ้นไปต่อปี ทุกคนก็จะต้องยื่นแบบภาษีเงินได้กับทางสรรพากรอยู่แล้ว ส่วนจำนวนเงินที่ต้องจ่ายภาษี จำนวน 92,257 บาท นั้น เนื่องจากแม่ค้าคนดังกล่าวมีรายได้มาก อีกทั้งสรรพากรก็มีรูปแบบการคิดคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ของเงินได้แต่ละบุคคลเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม โฆษกกรมสรรพากร ยืนยันอีกว่า การจ่ายภาษีเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน และไม่ได้จงเจาะกรณีของแม่ค้าคนดังกล่าวเพียงบุคคลเดียว อีกทั้งไม่ได้มุ่งเน้นการเก็บภาษีของผู้ที่ค้าขายผ่านโครงการคนละครึ่ง หรือ ม.33 และ โครงการของรัฐบาลแต่อย่างใด