ปรากฎการณ์ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายของชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. หมายเลข 8 ที่ลงในนามอิสระ และสามารถคว้า 1,386,215 คะแนน มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. โดยปีนี้กรุงเทพฯ มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 4,402,948 คน ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวน 2,673,696 คน คิดเป็นร้อยละ 60.73 มีบัตรดีจำนวน 2,561,447 บัตร บัตรเสีย จำนวน 40,017 บัตร ไม่ประสงค์ลงคะแนนจำนวน 72,227 บัตร คิดเป็นร้อยละ 2.70 ขณะที่การเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) 50 คนจาก 50 เขต ผลปรากฎว่าผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยกวาดส.ก.ไปทั้งสิ้น 20 คน ได้คะแนนรวมทุกเขต 615,003 คะแนน พรรคก้าวไกล 14 คน ได้คะแนนรวมทุกเขต 478,198 คะแนน พรรคประชาธิปัตย์ 9 คน ได้คะแนนรวมทุกเขต 348,837 คะแนน พรรคพลังประชารัฐ 2 คน ได้คะแนนรวมทุกเขต 267,439 คะแนน พรรคไทยสร้างไทย 2 คน ได้คะแนนรวมทุกเขต 234,025 คะแนน กลุ่มรักษ์กรุงเทพ 3 คน ได้คะแนนรวมทุกเขต 188,350 คะแนน จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งส.ก.ทั้งหมดในคราวนี้ 4,357,098 คน ออกมาใช้สิทธิ 2,635,283 คน คิดเป็นร้อยละ 60.48
มีการวิเคราะห์หลากหลายเหตุผลว่าทำไมคนกรุงถึงออกมาเลือกหมายเลข 8 กากบาทเลือกชัชชาติกันแบบถล่มทลายชนิดทุบสถิติคะแนนสูงสุดของการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ชนิดรวมคะแนนผู้สมัครทุกคนยังไม่ชนะชัชชาติ ไว้หลายประการ ประการแรกชัชชาติเกิดในตระกูลคนมีชื่อเสียงเป็นลูกชายคนสุดท้องของตระกูล “ปรีชญา-ฉันชาย-ชัชชาติ” พี่สาวเป็นอ.สถาปัตย์ที่จุฬา พี่ชายฝาแฝดเป็นหมอ ปัจจุบันเป็นคณบดีแพทย์ศาสตร์และผอ.รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย บิดาคือ พล.ต.อ.เสน่ห์ สิทธิพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล มารดาคือ จิตต์จรุง กุลละวณิชย์ ชัชชาติจึงมีศักดิ์เป็นหลานของ “บิ๊กเสือ” พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ชัชชาติเป็นคนเรียนเก่งชนิดหาตัวจับยาก ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งคนเดียวของรุ่นตอนเรียนป.ตรี วิศวะจุฬา จนได้ทุนหลวงคว้าทุนอานันทมหิดลไปเรียนต่อป.โท – ป.เอก ณ สถาบันเทคโนโลยีแมสซาจูเซสต์ และ ม. อิลลินอยส์ฯ สหรัฐอเมริกา มีประสบการในการทำงานภาครัฐและเอกชนมากมาย อาทิ ผู้ช่วยอธิการบดีจุฬาฯ ฝ่ายจัดการทรัพย์สิน , บริษัท ขนส่ง จำกัด , การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.), บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย , กรรมการอิสระ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้า, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ ฯลฯ
ประการที่ 2 มีประสบการณ์ทางการเมือง เคยถูกเชิญมาเป็นที่ปรึกษาด้านคมนามคมสมัยรัฐบาลทักษิณเทอม 2 และ รัฐบาลสมัคร ก่อนถูกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทาบทามเล่นการเมือง รับบทรมช.คมนาคมก่อนขึ้นชั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการในตำแหน่ง “ราชรถ 1” แต่ผลงานในตำแหน่ง 1 ปี 207 วัน แม้ไม่มีอะไรโดดเด่นแต่ไม่เคยมีเรื่องทุจริตเสียหายด่างพร้อย
ประการที่ 3 มีพรรคเพื่อไทยหนุนหลัง แม้ทางนิตินัยชัชชาติจะประกาศตัวลงอิสระ แต่ในทางพฤตินัยทุกคนรู้ดีว่าพรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุนดุนหลังชัชชาติอยู่ จุดนี้เลยทำให้มีฐานคะแนนจัดตั้งมากพอสมควร อย่างน้อย 6.04 แสนคะแนนที่เคยเลือกพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งทั่วไปคราวก่อน ส่วนใหญ่ก็คงเทคะแนนให้กับชัชชาติที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีของพรรค
เหตุผลประการที่ 4 ประกาศตัวออกหาเสียงตั้งแต่ไก่โห่ เริ่มเดินพบชาวบ้านออกเคมเปญต่างๆตั้งแต่ปี 2562 ทำให้ชาวบ้านรับรู้คุ้นชินหน้าตาและผลงานของชัชชาติมานานพอสมควร
ประการที่ 5 เป็นนักการเมือง “ขวัญใจ” นิสิต นักศึกษา เยาวชนคนรุ่นใหม่ แม้แต่คนทำงานมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยบุคลิกติดดิน เข้าถึงจับต้องง่าย ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดา ตื่นเช้ามาวิ่ง เดินเท้าเปล่า หิ้วถุงแกงใส่บาตรพระ ขึ้นรถเมล์ไปตรวจงาน ปั่นจักรยานไปดูปัยหาความเดือดร้อน ฯลฯ แตกต่างจากนักการเมืองทั่วไป จุดนี้จึงทำให้กลายเป็นไอดอลของคนรุ่นใหม่ กลายเป็นคนที่นิวโวตเตอร์เกือบ 7 แสนคน เทคะแนนให้แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก
ประการที่ 6 ไร้คู่แข่งที่สูสีสมน้ำสมเนื้อกันมาเป็น “คู่เทียบ” แม้ในลิสต์รายชื่อผู้ท้าชิงผู้ว่าฯกทม.จะมี “สกลธี-สุชัชชวีร์-อัศวิน-วิโรจน์-ศิธา-รสนา ” ที่เป็นคนดีเด่นดัง แต่ก็ดันมาตัดแต้มกันเองเพราะมีมวลชนฐานเดียวกัน หนำซ้ำทั้งหมดก็ถูกมองว่าไม่ได้เป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกับชัชชาติเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะหากเทียบกับรายชื่อที่เคยโผล่มาก่อนหน้านี้ อย่าง “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร. หรือ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการฟุตบอลทีมชาติไทย เหล่านี้ดูจะมีลุ้นเบียดกับชัชชาติได้มากกว่า
ประการที่ 7 พรรคพลังประชารัฐ แกนนำรัฐบาลไม่ส่งผู้สมัครลงผู้ว่าฯกทม. ตัดสินใจเรื่องนี้ล่าช้า ทำให้คนกรุงเทพฯที่เคยเป็นฐานเสียงของพรรคในกรุงเทพฯเกือบ 7.9 แสนคนในการเลือกตั้งทั่วไปคราวก่อน แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
สุดท้ายประการที่ 8 คนเบื่อนายกฯ ไม่ชอบรัฐบาล ไม่ต้องการพรรคพลังประชารัฐ ที่หลายคนเชื่อว่าเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คนกรุงแสดงพลังสะท้อนความไม่พอใจออกไปในการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.เที่ยวนี้
แต่เหตุผลเรื่องนี้กลับถูกผู้นำประเทศโดนนายกฯคนปัจจุบันอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอกกลับแบบเต็มๆว่าคนละเรื่อง ไม่เกี่ยวกัน และ ผลเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ส.ก.รอบนี้ ไม่ได้สะท้อนอะไรถึงพรรคพลังประชารัฐและนายกฯแต่อย่างใด แถมบิ๊กตู่ยังย้อนกลับด้วยประโยคเด็ดว่ากรุงเทพก็เป็นแค่จังหวัดหนึ่งในประเทศไทยเท่านั้นเอง “ ทำไมเหรอ เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของประชาธิปไตย เป็นการเลือกตั้ง ก็เหมือนกับการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งนี้เป็นเพียงจังหวัดนึงก็เท่านั้นเองในประเทศไทย ซึ่งก็เป็นความคิดเห็นของประชาชน ความชอบพอของประชาชนก็ว่ากันไปตามกลไกของประชาธิปไตย รัฐบาลก็ยินดีด้วย และขอเป็นกำลังใจให้ ขอให้ทำงานให้สำเร็จ ทั้งนี้ก็เป็นการทำเพื่อพี่น้องประชาชนอยู่แล้ว …..เรื่องนี้ไม่สะท้อนอะไรทั้งนั้นแหละ มันไม่สะท้อนอะไรกับผมนี่ ก็พรรคที่สนับสนุนรัฐบาลผมพลังประชารัฐ ก็ไม่ได้ส่งใครลงเลือกตั้งมิใช่หรือ ” บิ๊กตู่ย้อนกลับผู้สื่อข่าว ก่อนสำทับยืนกรานว่า ผลเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.และ ส.ก. แบบเลนด์สไลด์ในคราวนี้เอามาวัดว่าเรตติ้งนายกฯตกต่ำรัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงขาลงไม่ได้
รอบนี้ไม่รู้บิ๊กตู่กินยาผิดซองหรือซดยาแต่ลืมเขย่าหรือปล่าว ถ้าไม่หลงตัวเองแบบสุดๆก็ต้องบอกว่ากำลังหลอกตัวเองแบบสุดพลัง ไม่ต้องเอาคนที่อยู่ในการเมืองไม่ต้องถามคนที่เฝ้าการเลือกตั้ง ถามคนทั่วไปก็รู้คุยกับชาวบ้านก็ดูออก รัฐบาลแพ้หมดรูปพรรคพลังประชารัฐพ่ายเละตกบัลลังก์ ผู้นำรัฐบาลกัปตันเรือแป๊ะยังโอหังไม่เคารพการตัดสินใจของคนกรุงไม่ยอมรับฉันทามติของคนเหมืองหลวง แถมรอบนี้ยัง “ปากแข็ง-ปากดี” พูดออกมาได้อย่างไรว่าแค่จังหวัดหนึ่ง พ่นน้ำลายออกมาได้อย่างไรว่าผลการเลือกตั้งเที่ยวนี้ ไม่กระเทือนไม่สะท้อนอะไรถึงตัวนายกฯถึงรัฐบาล เห็นๆกันอยู่ว่าแพ้หลุดลุ่ยพ่ายยับไม่มีชิ้นดี นายกฯยังมีหน้ามาปากแข็งเอาสีข้างเข้าถูแบบข้างๆคูๆ ย้อนอดีตกลับการที่การเลือกตั้งทั่วไปคราวที่แล้ว 24 มี.ค. 2562 พรรคพลังประชารัฐประกาศศักดาคราวส.ส.กทม.ไปได้ 12 คน กวาดคะแนนจาก 30 ในเมืองหลวงไป 791,821 คะแนน แต่มาเที่ยวนี้คะแนนเหล่านั้นไปไหนหมด โอเคผู้ว่าฯกทม.อาจเข้าใจได้ เพราะพรรคพลังประชารัฐไม่มีตัวเล่นไม่ส่งคนลงสมัคร แต่สำหรับส.ก.นี้ต้องบอกว่าสะท้อนความตกต่ำดำดิ่งของพรรคพลังประชารัฐ แกนนำจัดตั้งรัฐบาลแบบเต็มๆ 50 เขต 50 คน ที่พรรคส่งคนลงแข่งขัน พรรคพลังประชารัฐได้ส.ก.กลับมาแค่ 2 คน ได้คะแนนรวมทั้งหมด 267,439 คะแนน ถามว่าคะแนนที่เคยได้จากการเลือกตั้งทั่วไปคราวที่แล้วอีก 524,382 คะแนน หายไปไหนหมด ตกหล่นไปอยู่ตรงไหน เรื่องพวกนี้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐต้องเอาไปขบคิด เรียกแกนนำพรรค เรียกทีมยุทธศาสตร์ของพรรคมาดู เป็นแชมป์เก่าเป็นเจ้าของพื้นที่กรุงเทพฯแท้ๆ แต่ทำไมถูกต้อนลงรูจนหมดรูปสิ้นสภาพพรรคแกนนำรัฐบาลแบบนี้ ไม่อายพรรคอื่นก็อายฐานเสียงมวลชนที่รักของพรรคตัวเองบ้าง
นายกฯอย่าดูเบาอย่าด้อยค่าเสียงบริสุทธิ์จากคนกรุงเทพที่ออกมาเลือกชัชชาติ 1.38 ล้านคะแนน เทคะแนนเลือกส.ก.ของพรรคเพื่อไทย 20 คน กวาด 6.15 แสนคะแนน เลือกส.ก.พรรคก้าวไกลอีก 14 คน ได้ไป 4.78 แสนคะแนน แบบนี้เขาสะท้อนว่าคนกรุงไม่เอารัฐบาลลอยแพพรรคพลังประชารัฐแล้ว แบบนี้มันวัดเรตติ้งว่าชาวบ้านร้านตลาดในเมืองหลวงที่เขาเคยรักที่เขาเคยชอบท่านเมื่อ 4 ปีก่อน ตอนนี้เขาไม่เอาตอนนี้เขาเบือนหน้าหนีตอนนี้เขาทิ้งไปหมดแล้ว ถึงเวลาตกต่ำล้มเหลว “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ก็ต้องยอมรับ ไม่ใช่แถไม่ใช่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่รู้ไม่ชี้ เหลือเวลาเลือกตั้งไม่ถึง 1 ปี อะไรที่ชาวบ้านไม่ชอบก็อย่าทำ อะไรที่มันห่วยก็ต้องแก้ไข ไม่ใช่บริหารประเทศไปแบบตามมีตามเกิดรอเวลาให้ครบวาระแล้วก็พ้นไป ถ้านายกฯไม่อยากไปต่อหรือคิดว่าพอแค่นี้จากนี้ไปจะปล่อยตามมีตามเกิดก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้ายังอยากไปต่ออยากเป็นนายกฯอีกสมัยเพื่อรักษาบ้านเมืองช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ท่านต้องฮึดท่านต้องสู้ท่านต้องกลับมาเข้มแข็งเขี้ยวรากดินให้มากกว่านี้ พล.อ.ประวิตรเป็นจุดอ่อนพรรคพลังประชารัฐกำลังขาลงรัฐบาลกำลังเสื่อมทรุด เรื่องพวกนี้ท่านต้องไปแก้ไขต้องไปขันน็อตไม่ให้เป็นจุดอ่อน
จากนี้ต้องเร่งระดมสรรพกำลัง “คน-เงิน-ปืน” รวมถึง “อำนาจ-กฎหมาย” ในมือ เร่งสร้างจุดแข็งทลายจุดอ่อนครองใจชาวบ้านให้ได้ พูดให้น้อยทำงานให้หนัก หยุดเกียร์การเมืองใส่เกียร์เดินหน้าทำงานช่วยชาวบ้านก่อน เวลาเหลือไม่มากแต่ก็ยังพอมีให้แก้ไขให้กลับตัวถ้าอยากไปต่อถ้าอยากอยู่ยาวอีกสมัย วันเวลาไม่เคยคอยใคร ตอนนี้ฝ่ายทักษิณฝั่งตระกูลชินกำลังฮึกเหิม แพ้ศึกเมืองหลวงเที่ยวนี้ต้องปล่อยไปตามกระแสและแรงลมของความไม่พอใจ แต่สงครามใหญ่ปีหน้าต้องห้ามพลาดอีกเด็ดขาด ไม่งั้นเป้าหมายดูแลราษปกป้องเมืองพิทักษ์บัลลังก์ที่ทำมาตั้งแต่ต้นจะฉิบหายวอดวายกันหมด เพราะฝ่ายแม้วนายใหญ่นักโทษหนีคดีกำลังได้ใจ ศึกใหญ่ยังรออยู่อีกมากสภาก็เปิดแล้ว จากนี้ยังมีด่านหินสำคัญลับมีดรอเชือดนายกฯอีกบานตะเกียง อาทิ พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2566 31 พ.ค.- 2 มิ.ย. จากนั้นกฎหมายลูก 2 ฉบับวาระ 2 และ 3 9-10 มิ.ย. และปิดท้ายด้วยอภิปรายไม่ไว้วางใจราวปลายเดือนมิ.ย.หรือต้นก.ค. ตื่นจากฝันร้ายให้เร็ว คิดใหม่ทำใหม่ อย่าหลอกตัวเอง เอาใจบริสุทธิ์ เอาความมุ่งมั่นชนะใจคนกรุง เรียกคืนศรัทธากลับมาจากคนไทยให้ได้ แล้วท่านจะได้ไปต่อและอยู่ยาว
///////////////////////