ย้อนกลับไปแถวๆ ต้นปีที่แล้วพ.ศ.2564 ถ้ามีคนบอกว่า “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ อาจจะยุบสภาเร็วกว่าที่คิดเผลอๆอาจเป็นครึ่งแรกของปีพ.ศ.2565 เชื่อแน่ว่าคงไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริงๆได้ ร้อยเอาบาท พันเอาสิบ ก็คงไม่มีใครกล้าพนัน เพราะสถานะทางการเมืองของพล.อ.ประยุทธ์ ณ ตอนนั้นแข็งแกร่งปานภูผา ปีเศษจากวันนั้นถึงวันนี้ไม่มีใครจะคาดคิดว่าทุกอย่างกลับตาลปัตร 10 ก.พ.2565 วันนี้สถานะของพล.อ.ประยุทธ์ทางการเมืองต้องบอกว่าล่อแหลมเสมือนยืนอยู่บนหน้าผา นับจากวันตัดสินใจเข้าทำการปฏิวัติรัฐประหารเข้าควบคุมอำนาจบริหารประเทศ เมื่อ 22 พ.ค.2557
จวบจนวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งผู้บริหารประเทศมาแล้ว 7 ปี 167 วัน เป็นนายกฯมาแล้ว 2 สมัย แต่ดูเหมือนเวลานี้จะเป็นช่วงที่พล.อ.ประยุทธ์เจอมรสุมถาโถมเข้ามามากที่สุดหนักที่สุดในชีวิต ถึงขนาดที่เจ้าตัวเปรยว่าไม่มีรัฐบาลชุดไหนเจอปัญหามากมายเท่ารัฐบาลชุดนี้ ดูเหมือนจะจริงเพราะวันนี้สารพัดปัญหาล้วนพุ่งตรงใส่นายกฯ แถมหลายเรื่องก็แก้อยากเพราะมีจระเข้ขวางคลองอยู่ บางเรื่องก็มีมือที่มองไม่เห็นมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายดักแข้งดักขาขวางทางอยู่ สภาพพล.อ.ประยุทธ์ตอนนี้ไม่ต่างจาก “ลิงแก้แห” สารพัดปัญหาอีรุงตุงนังกันไปหมด ไม่แปลกที่สัญญาณแบบนี้มักจะเกิดตอนรัฐบาลตกต่่ำขาลง และมักจะเกิดก่อนจนกลายเป็นสัญญาณของการ “ยุบสภา” อยู่เสมอทุกคราวไป ไม่ว่าการเมืองยุคไหนสมัยใดก่อนเรือแป๊ะอับปางก็มักจะมีลางบอกเหตุแบบนี้เสมอ ประกอบด้วย
รัฐบาลไร้เสถียรภาพ เกิดความขัดแย้งกันเองในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล เที่ยวนี้ต้องบอกว่าโคตรชัด เพราะแตกหักกันหนักทั้งนอกทั้งในพรรค นอกพรรคก็เกิดปัญหาเกาเหลาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลกันเอง รอบนี้พรรคร่วมงัดข้อกับนายกฯเลย สดๆร้อนๆก็เรื่องต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว พล.อ.ประยุทธ์พยายามหาทางออกเพื่อจบหนี้ ไม่ให้รัฐบาลมีภาระผูกพันไปถึงอนาคต รัฐบาลไม่ถูกฟ้องกทม.ไม่ถูกดำเนินคดี ได้ประโยชน์กับทุกฝ่าย คนไทยได้ใช้บริการรถไฟฟ้าในราคาไม่แพงไปตลอดสาย เอกชนได้เงินจากการควักเนื้อลงทุนโครงการของรัฐ รัฐบาลได้รับความเชื่อถือจากภาคธุรกิจโดยไม่ถูกฟ้องร้องว่าชักดาบเอกชนจนทำให้เสียหายด่างพร้อย แต่ฝ่ายพรรคภูมิใจไทยก็ดันเอาเล่ห์เหลี่ยมการเมืองมาบิดข้อมูลว่าต่อสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ผู้บริโภค ทั้งที่ความจริงอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ เพราะถูกฟ้องเรื่องสายสีส้มที่เอกชนดันไปร้องศาล เนื่องจากตัวเองทำผิดไปแก้ทีโออาร์เอื้อเอกชน ผิดพ.ร.บ.ร่วมทุนขัดหลักธรรมาภิบาล เรื่องนี้ในวงการใครๆเขาก็รู้ เสมือนไปเขี่ยชามข้าวทิ้งเตะหมูออกจากปาก เรื่องนี้เลยควันออกหูยอมกันไม่ได้ ที่สุดเลยกลายเป็นปมร้าวลึกภายในรัฐบาล เพราะผลประโยชน์ตัวเดียวจริงๆ
ในรัฐบาลก็ร่อแร่ หันมามองในพรรคพลังประชารัฐยิ่งเละกันไปใหญ่ เพราะเหตุที่มี “ผู้กองแป้ง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อยู่เป็นหอกข้างแคร่มาตลอด ถึงขนาดจะล้มนายกฯ กลางศึกซักฟอกเมื่อปีที่แล้ว เดชะบุญนายกฯยังบุญหนักทำให้รอดมาได้ ก่อนจะลงดาบปลดพ้นครม.เรือแป๊ะ แต่ก็ยังป่วนในพรรคไม่หยุด ที่สุดก็ต้องมาแตกหักถึงขนาดถูกขับพ้นพรรคพลังประชารัฐพร้อมพวก 21 คนอยู่ดี แต่ก็ทำให้เสียงส.ส.พลังประชารัฐหายลงไปมากโขจาก 116 คนเหลือแค่ 95 คน แถมใช้งานได้จริงๆก็แค่ 80 กว่าคนเท่านั้น เพราะโดนคดีพักปฏิบัติหน้าที่ไปอีกมากโข ผลพวงจากการขับก๊วนผู้กองแป้งพ้นพรรค พลอยทำให้พรรคพลังประชารัฐกลายเป็นแกนนำรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ
ต่อเนื่องจากปัญหารัฐบาลไร้เสถียรภาพ พรรคพลังประชารัฐแตกหักขาดความสามัคคี ผลลัพธ์เลยมาตกที่สภาที่ทำงานกระท่อนกระแท่น เหมือนเครื่องจักรเดินไม่เต็มสูบ เพราะส.ส.ตีรวนกันหมด ฝ่ายค้านก็ไม่มีสปิริตอยู่ในสภาแท้ๆแต่ไม่แสดงตัวเป็นองค์ประชุม แทนที่จะทำหน้าที่อย่างสง่าผ่าเผยให้สมเกียรติที่ได้รับเลือกจากชาวบ้านมา กลับใช้โอกาสนี้เล่นเกมส์การเมืองจนทำให้สภาล่มซ้ำซาก ขณะที่ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลไม่ต้องพูดถึงหน้าที่ตัวเองแท้ๆ แต่กลับไม่รับผิดชอบ ไม่รู้หน้าที่ ไม่มียางอาย ขาดประชุมแต่ถึงเวลาก็รับเงินเดือนผู้แทนแบบเต็มๆ เอาเวทีสภาที่ใช้แก้ปัญหาชาวบ้านมาเล่นเกมส์การเมือง ขนาดหลวงพ่อป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคยกมือไหว้แล้วแท้ๆ แต่ก็ยังล่มไม่รู้จบ เจอส.ส.ขาดคุณภาพ ไร้จิตสำนึกแบบนี้ เฉพาะรัฐบาลประยุทธ์เทอม 2 สภาล่มไปแล้ว 17 ครั้ง จะให้อยู่ต่อยังไงไหว ลากยาวไปแบบนี้มีหวังพล.อ.ประยุทธ์ตายกลางสภาเป็นแน่
ประการต่อมาเกิดปัญหารุมเร้าสารพัดเรื่องใส่พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาล โควิด-19 ก็ระบาดยาวนาน 2 -3 ปีจนป่านนี้แล้วก็ยังไม่หยุด หมดระบาดรอบ 4 ก็ยังมีระบาดรอบ 5 เบต้าหายไปก็มีเดลต้า เดลต้าจบก็มีโอไมค่อนมาอีก วันๆ รัฐบาลไม่ต้องคิดทำอะไรแค่แก้ปัญหาโควิด-19 ฟื้นประเทศก็อ้วกแตกแล้ว หนำซ้ำยังมาเจอปัญหาหมูแพง ไก่แพง ข้าวของแพงอีก ต่อด้วยน้ำมันแพง ก๊าซขนส่ง ก๊าซหุงต้มก็จ่อคิวขึ้น ค่าแรงก็เรียกร้องอัพราคาเป็น 492 บาท เงินเฟ้อก็ตามมาอีก เก่งขั้นเทพขนาดไหนก็เอาไม่อยู่
แค่นั้นยังไม่จบล่าสุดภาคเอกชนก็ออกมาขย่มซ้ำ ไม่เอาไม่หนุนรัฐบาลนี้แล้ว หนึ่งในนั้นก็เป็นเสียงจากปากของนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) 1 ในคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ที่ออกมาอัดตรงถึงนายกฯพุ่งเป้าใส่รัฐบาล หมดเวลาแล้วยุบสภาเถอะ เพราะครม.ก็มีปัญหา แถมสภาก็ล่มบ่อย ล้างไพ่ใหม่กันดีกว่า คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว เลือกตั้งใหม่อาจได้รัฐบาลที่มีเอกภาพมากว่านี้ มาบริหารประเทศขับเคลื่อนเศรษฐกิจแก้ไขปัญหาปากท้องของชาวบ้าน
สุดท้ายปลายทางคือคะแนนนิยมในตัวรัฐบาลนี้ก็ตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย ส่วนหนึ่งก็มาจากความรำคาญจากปัญหาการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐที่ทะเลาะกันไม่หยุด อีกส่วนหนึ่งก็เกิดจากความเบื่อหน่ายเกมส์อำนาจของ 3 ป. โดยเฉพาะระหว่างพล.อ.ประยุทธ์กับพล.อ.ประวิตรที่ถือหางร.อ.ธรรมนัส เห็นขี้ดีกว่าไส้ จนรัฐบาลพังเป็นแถบๆ เข้าข่ายสนิมเกิดแต่เนื้อในตน จนถึงปัจจุบันก็ยังเล่นเกมส์เหยียบเรือสองแคมไม่ยอมหยุด พลอยทำให้พล.อ.ประยุทธ์ทรุดโทรม ด้อยค่าลดราคาลงไป เพราะพล.อ.ประวิตรเลือกคนผิดวางตัวไม่เหมาะสมคุมจังหวะจะโคนเรือแป๊ะไม่ดี ที่สุดเรือก็รั่วเรือก็เอียง พาลทำให้ประชาชนลดความนิยมในรัฐบาล ลากยาวกินตัวมาถึงพล.อ.ประยุทธ์พลอยมัวหมองไปด้วย ยุบสภาที่ก่อนหน้านี้หลายคนคิดว่าคงอีกยาวกว่าจะจัดการเลือกตั้ง เร็วสุดน่าจะปลายปีนี้หลังประชุมสุดยอดผู้นำเอเปกเสร็จในเดือนพ.ย.นี้ ช้าสุดต้นปีหน้า 2566 ก่อนครบอายุสภาผู้แทนราษฎรในเดือนมี.ค. หรือไม่เกินครบวาระ 4 ปีพล.อ.ประยุทธ์ในเดือนมิ.ย.2566 เอาจริงๆ ทำไปทำมาถึงตรงนี้ อาจเร็วกว่าที่คิดไว้มาก กลางปีนี้ยังอาจช้าไปด้วยซ้ำ เพราะหมดสมัยประชุมสภารอบนี้ในปลายเดือนก.พ. ถัดจากนั้นไปอีก 2 เดือนอะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะการเมืองยามนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเลยจริงๆ พล.อ.ประยุทธ์ถูกบีบไข่มากๆ อาจจะทนไม่ไหว เพราะฉะนั้นยุบสภาก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
//////////////////////////////
