BBC เผยไทยชี้แจง UN ม 112 ช่วยปกป้องสถาบันกษัตริย์และความมั่นคงชาติ

คณะผู้แทนรัฐบาลไทยได้ชี้แจงเรื่องการใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อที่ประชุม "การทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนตามระยะ" (Universal Periodic Review หรือ UPR) ครั้งที่ 3 ของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ โดยชี้ว่ากฎหมายมาตรานี้ช่วยปกป้องสถาบันกษัตริย์และความมั่นคงของชาติ อีกทั้งมีการใช้กฎหมายนี้ด้วยความระมัดระวัง

ไทยเป็นหนึ่งใน 13 ประเทศที่คณะทำงาน UPR กำลังทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในการประชุมสมัยล่าสุดที่ดำเนินอยู่ระหว่าง 1-12 พ.ย. โดยก่อนหน้านี้ไทยได้เข้าสู่กระบวนการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนตามระยะครั้งที่ 1 และ 2 ไปแล้ว เมื่อเดือน ต.ค. 2554 และ พ.ค. 2559 ตามลำดับ
ในกระบวนการ UPR ครั้งที่ 3 นี้ มีขึ้นในวันที่ 10 พ.ย. โดยคณะผู้แทนของไทยซึ่งนำโดยนายธานี ทองภักดี ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ต้องตอบคำถามของนานาชาติเกี่ยวกับความคืบหน้าของสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในไทย

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ผู้แทนชาติประชาธิปไตยตะวันตก ได้แก่ เบลเยียม แคนาดา ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี นอร์เวย์ สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์ ได้เรียกร้องในที่ประชุมให้ไทยดำเนินการแก้ไขหรือทบทวนประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือที่มักเรียกว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยชี้ว่ากฎหมายมาตรานี้เป็นเครื่องมือในการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก
ขณะที่สหรัฐฯ แสดงความกังวลต่อ “การขยายขอบเขต” การใช้กฎหมายนี้ และผลกระทบที่มีต่อเสรีภาพในการแสดงออก

อย่างไรก็ตาม นายณัฐวัฒน์ กฤษณามระ อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ในฐานะผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 “สะท้อนถึงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของไทย ซึ่งสถาบันกษัตริย์เป็นหนึ่งในเสาหลักของชาติ ที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงจากคนไทยส่วนใหญ่”

“การดำรงอยู่ของมัน (กฎหมายนี้) มีความเกี่ยวโยงอย่างใกล้ชิดกับการพิทักษ์สถาบันสำคัญต่าง ๆ ของชาติ และความมั่นคงของชาติ” เขากล่าว
ข้อมูลจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่า นับแต่เกิดการชุมนุมประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยที่นำโดยกลุ่มนักศึกษาเมื่อปีก่อน มีผู้ถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 112 ไปแล้วอย่างน้อย 156 คน ซึ่งรวมถึงเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี 13 คน

การเข้าชี้แจงในกระบวนการ UPR ของไทยครั้งนี้มีขึ้นหลังจากศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2563 ซึ่งมีนายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล เป็นผู้ปราศรัย เป็นการกระทำที่เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ตอนหนึ่งของคำวินิจฉัย ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับความเป็นชาติไทย ว่า “พระมหากษัตริย์กับชาติไทย ดำรงอยู่คู่กันเป็นเนื้อเดียวกัน ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน และจะดำรงอยู่ร่วมกันต่อไปในอนาคต แม้ประเทศไทย มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้ว ปวงชนชาวไทย เห็นพ้องต้องกันอัญเชิญพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นสถาบันหลักคู่ชาติไทย และถวายความเคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดไม่ได้”

โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) ระบุว่า ภายใต้กลไก UPR ประเทศที่ถูกทบทวนสถานการณ์จะต้องจัดทำรายงานสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของตนเองนำเสนอต่อที่ประชุม ส่วนภาคประชาสังคมก็จะจัดทำรายงานคู่ขนานเพื่อให้ชาติสมาชิกอื่น ๆ ได้รับทราบข้อเท็จจริงอีกด้านและนำไปประกอบการทำข้อเสนอแนะที่จะเสนอต่อรัฐบาลไทย ขณะที่ประเทศที่ถูกประเมินจะมีทางเลือกว่าตกลงจะนำข้อเสนอแนะนั้นไปปรับใช้ หรือเพียงแค่รับทราบข้อเสนอแนะก็ได้

ในกระบวนการ UPR ทั้งสองครั้งที่ผ่านมาของไทยในปี 2554 และ 2559 ประเด็นปัญหาด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ถูกชาติสมาชิกหยิบยกขึ้นมาบ่อยครั้ง โดยมีข้อเสนอแนะตั้งแต่การให้ปรับแก้ไขลดโทษ ไปจนถึงการให้ยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากลและข้อตกลงระหว่างประเทศที่ไทยได้เข้าร่วมเป็นภาคี เช่น กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights หรือ ICCPR) อย่างไรก็ตาม ผู้แทนไทยก็ไม่เคยรับข้อเสนอแนะที่เกี่ยวกับมาตรา 112 โดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องของความมั่นคง

ไอลอว์ ระบุว่า รายงานของรัฐบาลไทยที่นำเสนอต่อที่ประชุม UPR ครั้งนี้ระบุว่า ไทยพยายามมุ่งเน้นการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้เป็นไปตาม SDG เช่น ประชาธิปไตยและเสรีภาพ รวมถึงมีโครงการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของท้องถิ่นอย่างโคกหนองนา ในด้านที่เกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพทางการเมือง รายงานของรัฐบาลไทยกล่าวว่า ไทยให้ความสำคัญกับการปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ไทยเป็นประเทศที่พระมหากษัตริย์ได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง โดยมาตรา 112 มีเป้าหมายเพื่อปกป้องความมั่นคงแห่งชาติ ไม่ใช่เพื่อขัดขวางการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพสื่อ ส่วนในคดีมาตรา 112 ที่มีความกังวลจากหลายฝ่ายนั้น ก็มีการดำเนินคดีถูกต้องตามกระบวนการอันสมควรแก่กฎหมาย (due process of law) และมีการใช้กลไกหลาย ๆ อย่างเพื่อกลั่นกรองคดีรวมถึงยังมีช่องทางในการขอพระราชทางอภัยโทษอีกด้วย

ในการแถลงด้วยวาจาโดยนายธานี ทองภักดี กล่าวถึงสถานการณ์การใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองว่า รัฐบาลไทยให้ความเคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก แต่การใช้เสรีภาพต้องเป็นการใช้อย่างสร้างสรรค์ ภายใต้กรอบของกฎหมาย ที่ผ่านมา รัฐบาลได้พยายามแก้กฎหมายต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างเสรีภาพในการแสดงออก รัฐบาลไทยยังตระหนักถึงความสำคัญของคนรุ่นใหม่ และได้มีความพยายามสร้างเวทีพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ระหว่างวัย นอกจากนี้ รัฐบาลยังสนับสนุนร่างกฎหมายป้องกันการซ้อมทรมานและบังคับสูญหายที่ในขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา
ในส่วนของข้อแนะนำของชาติสมาชิกที่มีต่อไทย มีทั้งการสนับสนุนร่างกฎหมายป้องกันการซ้อมทรมานและการบังคับสูญหาย การแสดงความกังวลต่อการที่คณะรัฐมนตรีอนุมติร่างกฎหมายควบคุมเอ็นจีโอ

ส่วนประเด็นการขัดขวางการใช้สิทธิเสรีภาพทางการเมืองก็ได้รับการพูดถึงหลายครั้ง เช่น สหรัฐฯ เสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยยกเลิกอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำ ขณะที่ลักเซมเบิร์กแนะนำให้รัฐบาลไทยพิจารณาแก้ไขกฎหมายที่มีเนื้อหาจำกัดเสรีภาพการแสดงออก เช่น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มาตรา 116 และ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

เบลเยียมแสดงความกังวลต่อกรณีที่รัฐบาลไทยจับกุมผู้ชุมนุมและแนะนำให้รัฐบาลไทยแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้สอดคล้องกับมาตรา 19 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights)
สาธารณรัฐไอร์แลนด์แนะนำให้รัฐบาลไทยยุติการจับกุมคุมขังนักกิจกรรมทางการเมือง ญี่ปุ่นแนะนำให้รัฐบาลไทยปรับปรุงสถานการณ์สิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุม
สหราชอาณาจักร แนะนำให้มีการเปิดพื้นที่ให้แก่พลเมือง และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งรวมถึง เยาวชน พลเมือง ทนายความ สื่อมวลชน นักวิชาการ เพื่อให้ได้ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก รวมทั้งการชุมนุมและการรวมกลุ่มได้อย่างเสรีทั้งในโลกออนไลน์และโลกจริง

มาลาวีแนะนำให้รัฐบาลไทยอบรมเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในส่วนของการควบคุมการชุมนุมให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ส่วนเกาหลีใต้ แนะนำให้รัฐบาลไทยปรับกฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับเสรีภาพการชุมนุมและการแสดงออกให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลและประกาศใช้กฎหมายป้องกันการบังคับสูญหาย เป็นต้น
นอกจากนี้ ชาติสมาชิกหลายประเทศยังเรียกร้องให้ไทยยกเลิกการใช้โทษประหารชีวิต และส่งเสริมสิทธิความเสมอภาคของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เมืองพัทยา เปิดตัวป้ายจอ LED วอล์คกิ้งสตรีทโฉมใหม่ สุดอลังการ ตอบโจทย์เมืองท่องเที่ยวระดับโลก
รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จัดกิจกรรมวันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบปีที่ 28
สงขลา เปิดม่าน “เมืองแห่งป้อมปราการสู่มรดกโลก”
เมืองคอนจัดโครงการมอบโฉนดที่ดินทั่วไทย นำสุขคลายทุกข์ให้ประชาชน
ร้อยเอ็ด รมว.ท่องเที่ยว โชว์โดด “Zipline Roi Et Tower”แลนด์มาร์กสุดท้าทายใหม่แห่งอีสาน
เลย ประเมินตำบลยั่งยืนบ้านป่าเป้า ต.ปากปวน

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​