เมื่อพิจารณาผลประมาณการคะแนนเสียงของพรรคการเมืองในภาพรวม พบว่า พรรคการเมืองขนาดใหญ่ยังคงเป็นแกนหลักของระบบการแข่งขันทางการเมืองไทย โดยพรรคภูมิใจไทยได้รับคะแนนเสียงประมาณการสูงสุดที่ 8,436,150 คะแนน รองลงมาคือ พรรคเพื่อไทย จำนวน 7,587,229 คะแนน และพรรคประชาชน จำนวน 4,509,891 คะแนน
ในขณะเดียวกัน กลุ่ม “เลือกพรรคอื่น ๆ และพรรคเปิดตัวใหม่” มีคะแนนเสียงรวมกันถึง 5,199,640 คะแนน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนว่าพรรคขนาดเล็กและพรรคการเมืองใหม่ยังคงมีพื้นที่ทางการเมือง และมีบทบาทในฐานะ “ทางเลือก” สำหรับประชาชนบางส่วนที่ยังไม่ผูกพันกับพรรคการเมืองขนาดใหญ่
ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ คือ กลุ่มประชาชนที่ยังลังเล ไม่ตัดสินใจ หรือไม่ตอบคำถาม มีจำนวนสูงถึง 12,574,638 คน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าคะแนนเสียงของพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่งโดยลำพัง และถือเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงสุดในการกำหนดทิศทางผลการเลือกตั้งในช่วงโค้งสุดท้าย เมื่อรวมกับกลุ่มที่ไม่ไปเลือกตั้งจำนวน 14,749,998 คน จะเห็นได้ว่ามีประชาชนมากกว่า 27 ล้านคน ที่ยังอยู่นอกการตัดสินใจทางการเมืองโดยตรง ซึ่งสะท้อนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ยังคงเป็น “สนามเปิด” ในเชิงพฤติกรรม ไม่ใช่การแข่งขันที่ปิดเกมแล้วจากตัวเลขคะแนนเสียงปัจจุบัน
สำหรับพรรคการเมืองที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ ผลการสำรวจพบว่า พรรคเศรษฐกิจได้รับคะแนนเสียงประมาณการ 742,806 คะแนน พรรคปวงชนไทยได้รับ 477,518 คะแนน และพรรคไทยก้าวใหม่ได้รับ 265,288 คะแนน จะเห็นได้ว่าพรรคโนเนม หรือ พรรคที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นในการรับรู้กำลังพุ่งขึ้นสู่กลุ่มพรรคมวยรอง เช่น พรรคเศรษฐกิจ พรรคปวงชนไทย กำลังกลายเป็นพรรคที่ถูกจับตามองอยู่ในเวลานี้ด้วยนโยบายเรื่องเมกะโปรเจกต์ เศรษฐกิจการเกษตร สร้างคน สร้างงาน สร้างอาชีพ เป็นต้น
แม้ตัวเลขดังกล่าวจะยังอยู่ในระดับหลักแสนเมื่อเทียบกับพรรคขนาดใหญ่ แต่ในเชิงพฤติกรรมการเลือกตั้ง ถือเป็นสัญญาณสำคัญของการเริ่มก่อตัวของ “มวยรอง” หรือ “อันเดอร์ด็อก เอฟเฟกต์” กล่าวคือ การที่ประชาชนบางส่วนเลือกสนับสนุนพรรคที่ยังไม่ใช่ผู้เล่นหลัก ด้วยแรงจูงใจด้านความหวัง การให้โอกาส และความต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
เมื่อเชื่อมโยงตัวเลขคะแนนเสียงเข้ากับกรอบการวิเคราะห์เชิงพฤติกรรม พบว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีพลวัตที่สำคัญอยู่สองด้านควบคู่กันได้แก่Bandwagon Effect และ Underdog Effect ในด้านหนึ่ง พรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่มีคะแนนนำอยู่ เช่น พรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย อยู่ในสถานะที่เอื้อต่อการเกิด Bandwagon Effect กล่าวคือ ประชาชนกลุ่มลังเลอาจตัดสินใจสนับสนุนพรรคที่ถูกมองว่ามีโอกาสชนะสูง เพื่อให้เสียงของตน “ไม่สูญเปล่า” และมีผลต่อการจัดตั้งรัฐบาลหรือทิศทางประเทศ
แต่อีกด้านหนึ่ง คะแนนเสียงของพรรคเปิดตัวใหม่และพรรคขนาดเล็ก รวมถึงจำนวนประชาชนที่ยังไม่ตัดสินใจในระดับสูง สะท้อนว่า Underdog Effect ยังมีพื้นที่และสามารถขยายตัวได้ หากพรรคการเมืองสามารถสื่อสารนโยบายที่ตอบโจทย์ปัญหาปากท้อง ความเป็นธรรม และคุณภาพชีวิตได้อย่างน่าเชื่อถือ