วันที่ 27 ต.ค.2564 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมพูดคุยในรายการ CareTalk x Care Clubhouse ในหัวข้อ “วันนี้ประยุทธ์ พรุ่งนี้…ใคร?” ระบุว่า เราเดินผิดตั้งแต่รัฐประหาร 2549 ที่ทำให้รัฐบาลประชาธิปไตยอยู่ได้ไม่นาน ถ้าอยู่ได้นาน บ้านเมืองเราจะไปดีกว่านี้ ซึ่งสำคัญที่สุดคือ สมองคนไทยยังไม่ถูกปลดปล่อย ยิ่งเป็นเผด็จการทหารเท่าไหร่ ไม่ปลดปล่อยสมองคนรุ่นใหม่ เราจะถูกดิสรัปครั้งแล้วครั้งเล่า ผลสุดท้ายทำงานได้นิดนึงก็ซื้อของแพง เป็นทาสตลอดชีวิต
นายทักษิณ ยังกล่าวถึงความเคลื่อนไหวของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่กำลังจะเปลี่ยนเลขาธิการพรรคว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยากอยู่นาน จึงต้องเล่นเปลี่ยน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลาขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เหมือนเป็นการประกอบกำลังของคนที่มาจากคนละหลายแหล่ง โอกาสที่จะให้เกิดการไม่ลงตัวเรื่องผลประโยชน์จึงมีสูง จึงมีการต่อสู้ งัดข้อกัน แต่ที่สุดแล้ว ก็น่าจะเอาไม่อยู่ เพราะร.อ.ธรรมนัสเป็นนักเลง ถ้าพูดกันดีๆอาจจะพูดรู้เรื่อง แต่ถ้าเล่นกับร.อ.ธรรมนัสตนว่าไม่ยอม เรื่องไม่จบ ดังนั้นพรรคพลังประชารัฐยังไม่จบ ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนกรรมการ ตั้งเลขาใหม่แล้วทุกอย่างจะจบ เพราะมันเป็นพรรคที่มาประกอบกันเพียงชั่วคราว ตนคิดว่าจะไม่จบง่ายๆ
นายทักษิณ ยังกล่าวถึงกรณีคลิปลับที่แกนนำพรรคเพื่อไทยเสนอให้ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ เข้ามาเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทย จนถูกร้องเรียนยุบพรรคว่า งานเลี้ยงดังกล่าว มีคนโทรมาชวนให้ช่วยพูดอวยพรวันเกิดย้อนหลังนายเกรียง กัลป์ตินันท์ โดยนายเกรียงก็เลยถามเรื่องของครอบครัวว่าจะให้คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ มานำพรรคได้หรือไม่ ซึ่งก็เป็นเรื่องภายในบ้าน ไม่ได้เป็นการประชุมพรรค อย่าไปเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ เอาเรื่องใหญ่ๆ ดีกว่าว่าพรรคไหนจะเสนอแนวทางนั้นให้ประชาชน
นายทักษิณ ยังพูดถึงคุณสมบัติของผู้ที่เหมาะจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปว่า หัวใจต้องเป็นประชาธิปไตย คือหัวใจเป็นของประชาชน ไม่ได้มองประชาชนเป็นพลทหาร และจะต้องตามโลกให้ทัน เพราะการเป็นผู้นำคือการเป็นเจ้าภาพที่จะนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศที่ดีขึ้น ถ้าผู้นำไม่เป็นเจ้าภาพในการเปลี่ยนแปลง แล้วใครจะเปลี่ยนแปลง
เมื่อถามว่าคนเจเนอเรชั่นใดเหมาะจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป นายทักษิณ กล่าวว่า เจน x เป็นเจนที่กำลังอยู่ในวัยทำงานและมีความเข้าใจในเทคโนโลยีโลกยุคใหม่ แต่เบบี้บูมเมอร์ต้องตามทุกเรื่องจริงๆ ถึงจะเอาอยู่ เพราะเราเกิดมาในยุคอนาล็อก โดยคนที่จะเป็นนายกฯนั้น ยังต้องเข้าใจเศรษฐกิจเป็นอย่างดี เพราะความคิดของคนที่กินเงินเดือน จะไม่คิดเลยว่าเงินขาดมือมันคืออะไร ไม่เข้าใจว่าคนหาเช้ากินค่ำนั้นเป็นอย่างไร
เมื่อถามว่าพื้นฐานภาษาอังกฤษของผู้นำประเทศควรจะต้องเป็นอย่างไร นายทักษิณ ตอบว่า วันนี้ภาษาอังกฤษแทบเป็นภาษาสากล ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ต้องใช้ อย่างฮุนเซนตอนเป็นนายกฯใหม่ ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่วันนี้ได้แล้ว คิดว่าใช้เวลาไม่กี่ปี ภาษาดีขึ้นแล้ว แต่นายกฯคนนี้ภรรยาเป็นถึงครูสอนภาษาอังกฤษ น่าจะต้องไปเรียนกับเขา เพราะภาษาอังกฤษเป็นสิ่งจำเป็น อย่างน้อยสามารถไปคุยเล่นกับผู้นำประเทศต่างๆ ได้ เป็นภาษาทางการจะดีกว่า คนจะได้เข้าใจทันที แต่เวลาเจรจา กลัวจะจับไม่ทัน มีคนแปลให้ก็ไม่ว่ากัน แต่อย่างน้อยต้องรู้ ตนไม่ชอบคนแปลไปมา แม้ตนภาษาจะไม่เป๊ะก็ตาม เชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์จะเป็นนายกฯ คนสุดท้าย เพราะว่าคนต่อไปอายุน้อยก็จะพูดอังกฤษได้แล้ว
เมื่อถามว่า มีโอกาสที่คนในตระกูลชินวัตร จะขึ้นมานำพรรคเพื่อไทยอีกหรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า เป็นคำถามที่ดี แต่ยังไม่มีคำตอบ การเมืองมันซับซ้อน เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรใครอยากปรึกษาในเรื่องการต่างประเทศ ก็ยินดี ไม่คิดสตางค์ อยากช่วยบ้านเมือง
นอกจากนี้นายทักษิณ ยังพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่า เป็นพรรคที่ทำให้ราคายางพาราตกมาตลอด และไม่คิดว่าสามารถทำให้ดีขึ้นได้ ซึ่งคราวที่แล้วตอนตนทำราคายางขึ้น เพราะรู้ว่ายางรถยนต์บริโภคยางดิบ 80% ของโลก ตนถามประธานมิชลิน ตอนนั้นราคายางประมาณ 21-22 บาทว่า บริษัททำผลกำไรเยอะ พอจะช่วยซื้อได้เท่าไหร่ ซึ่งเขาบอกว่ารับซื้อได้ในราคา 1 ดอลลาร์ (35 บาทตอนนั้น) เขากล้าบอกตนก็ดีใจและขอบคุณ
และเมื่อครั้งไปประชุมที่บาหลี บ้านพักของนางเมกาวาตี ซูการ์โนบุตรี อดีตประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ก็คุยกัน มาเลเซียก็ยุคมหาธีร์ มีเพียงไทยกับอินโดฯส่งออก ตกลงว่าเราจะตั้งบริษัทส่งออก และเตรียมกองทุน พอดันราคาขึ้น ก็ขายได้ บริษัทมิชลินบอกว่า ความคงที่ในการส่งออกยางพาราต้องสม่ำเสมอนะ พอประกาศปุ๊บ ราคาขึ้นเป็นร้อยบาท หลังจากนั้นเหตุการณ์เปลี่ยนราคาก็ขึ้นอีก ทุกอย่างเป็นเรื่องของอุปสงค์อุปทาน ถ้าเราเข้าใจก็เล่นเกมราคาได้สบายมาก พอเราขายให้จีนเพราะเขาทำยางรถยนต์เอง แต่ตอนหลังจีนหันมาปลูกยางเอง ตลาดก็เปลี่ยนไป ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็ต้องติดตามและขยับราคา หัดแปรรูป ไม่ใช่ขายยางดิบอย่างเดียว