6. การเปลี่ยนสถานะการเตือนภัยจาก “ธงเขียว” (ปกติ) ไปเป็น “ธงแดง” (วิกฤต) เกิดขึ้นกะทันหันในเวลากลางคืน ทำให้ประชาชนเตรียมตัวไม่ทัน
7. องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นรายงานข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริงไปยังรัฐบาลกลาง (นายกฯ อนุทิน) ทำให้การสั่งการช่วยเหลือจากส่วนกลางล่าช้า หรือผิดพลาดตามไปด้วย
8. วุฒิภาวะของผู้นำท้องถิ่นที่เน้นสร้างภาพลักษณ์ความเชื่อมั่น แต่ขาดความรับผิดชอบเมื่อเกิดความผิดพลาด (ไม่ยอมรับความจริง)
9. ในขณะที่ความผิดพลาดหลักอยู่ที่ “ท้องถิ่น” (เทศบาล) แต่จำเลยสังคมกลับกลายเป็น “รัฐบาลกลาง” นายกฯ อนุทิน กลายเป็นแพะรับบาปที่ถูกด่าว่าทำงานล่าช้า ทั้งที่ได้รับรายงานผิด
10. Crisis Management ต้นทุนราคาแพงของ “False Assurance” (การรับรองความปลอดภัยที่เป็นเท็จ)
11. ดาบสองคมของ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ประเด็นนี้น่าสนใจมากโดยปกติ “ความเชื่อมั่น” ถือเป็นทุนทางสังคมที่ดี แต่ในกรณีนี้กลับกลายเป็น “จุดตาย”
12. คนหาดใหญ่มีพฤติกรรมเชื่อถือ “ข้อมูลท้องถิ่น” มากกว่า “ข้อมูลส่วนกลาง” (กรมอุตุฯ/รัฐบาล) เพราะประสบการณ์ในอดีตสอนว่าคนในพื้นที่จะรู้ดีที่สุด
13. เมื่อเทศบาลใช้เครดิตความน่าเชื่อถือนี้มายืนยันข้อมูลที่ผิดพลาด ประชาชนจึง “ปิดรับ” สัญญาณเตือนภัยอื่นๆ (เช่น สัญญาณเตือนภัยจากส่วนกลางที่ดังขึ้น แต่คนเลือกที่จะไม่เชื่อ เพราะเทศบาลบอกว่าธงเขียว)
14. ผลลัพธ์ของความเชื่อใจกลายเป็น “กรงขัง” ที่ทำให้ประชาชนรออยู่กับที่จนหนีไม่ทัน บทเรียนนี้ชี้ให้เห็นว่า ในภาวะวิกฤต ประชาชนควรมี “แหล่งข้อมูลที่หลากหลาย“ และไม่ควรฝากชีวิตไว้กับหน่วยงานเดียว
15. รอยรั่วของการกระจายอำนาจประเทศไทยพยายามผลักดันการกระจายอำนาจ ให้ท้องถิ่นดูแลตนเอง แต่เคสนี้สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุนแรง
16. เทศบาล ต้องการรักษาภาพลักษณ์ทางการเมือง จึงเลือกรายงานข้อมูลด้านดี ไปยังรัฐบาล (นายกฯ อนุทิน)
17. ผลคือ ส่วนกลางประเมินสถานการณ์ต่ำกว่าความเป็นจริง ทำให้การจัดสรรทรัพยากรขนาดใหญ่ (เรือผลักดันน้ำ, เฮลิคอปเตอร์, กำลังทหาร) มาไม่ทันเวลา
18. เทศบาลนครหาดใหญ่มีความสามารถในการจัดการ “น้ำท่วมเมื่อปกติ” แต่ไม่มีศักยภาพพอที่จะรับมือ “อุทกภัยระดับภัยพิบัติ” ที่เกิดจาก Rain Bomb + ปัจจัยภูมิศาสตร์แอ่งกระทะ
19. เมื่อเกิดภัยระดับนี้ ท้องถิ่นมักจะ “กอดอำนาจ/ความรับผิดชอบ” ไว้นานเกินไป (เพราะกลัวเสียหน้าหรือถูกแทรกแซง) กว่าจะยอมรับความจริงและขอความช่วยเหลือ ก็สายเกินแก้
20. การบริหารแบบแยกส่วน ทำให้การเชื่อมต่อข้อมูลระหว่าง “ท้องถิ่น” กับ “ส่วนกลาง” ขาดหาย ทำให้รัฐบาลกลางกลายเป็นแพะรับบาป ทั้งที่ต้นตอข้อมูลมาจากรัฐบาลท้องถิ่น
