เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ที่โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ร่วมงานสัมมนา “PRACHACHAT OUTLOOK THAILAND 2026 : ปรับ-เปลี่ยน-ไปต่อ” โดยมี น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย โดย นายอนุทิน กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “Change for the Future” มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่า อย่างเรื่องโครงการคนละครึ่งพลัส ที่บอกว่าไปซ้ำกับคนอื่น แต่ลุงตู่ก็นายผม ทำมาแล้วก็ทำต่อ ถ้ากลัวไปลอกข้อสอบก็ใส่คำว่าพลัสเข้าไป ตั้งแต่ที่ตนเข้ามาการเมืองทำอะไรก็โดนด่าไปหมด มีแต่คนละครึ่งพลัสนี่แหละที่เวลาเดินไปไหนมีแต่คนชม ตนถือว่าเราต้องไม่หัวแข็ง เราต้องยืดหยุ่นอะไรที่ดีแล้ว อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมเราก็ทำไป
"นายกฯ อนุทิน" ลั่นเดือดรอ 31 ม.ค.ไม่ได้ ก็พร้อมยุบสภาฯ 12 ธ.ค. แต่อะไรรัฐบาลทำไม่เสร็จ ต้องไปโทษคนนั้น มาโทษผมไม่ได้
ข่าวที่น่าสนใจ
นายกฯ กล่าวต่อว่า ย่อหน้าสุดท้ายไม่ต้องฟังเรื่องการเมืองเดี๋ยวตนก็ยุบสภาแล้วคืนอำนาจให้ท่าน ตอนนี้ตนว่าตัวเลือกมีไม่มาก อยู่ที่ท่านก็ดูว่าพรรคไหน นอกจากจะมี policy (นโยบาย)ที่ดีแล้วต้องมีการปฏิบัติที่ดี ไม่ใช่พูดแต่ policy แต่ถึงเวลาปฏิบัติไม่ได้ คำว่าการปฎิบัติมีหลายมิติ มีหลายรูปแบบ มีความรู้พอที่จะปฏิบัติหรือไม่ มีความกล้าพอจะปฏิบัติและมีความเก่งพอที่จะผลักดันหรือไม่ มีปริมาณพอที่จะแสวงหาความร่วมมือหรือ มีอีกตั้งเยอะแยะ ตนคิดว่าตนมีพอสมควร และคิดว่าเรื่องเหล่านี้ท่านต้องช่วยกัน
“ปีหน้ายังไงก็ต้องเลือกตั้ง เพราะสภาพการเมืองที่มันดำรงมาจนถึงจุดนี้ก็ต้องยอมรับตรงๆ ว่ามันไปไม่ได้แล้ว รัฐบาลเสียงข้างน้อยมันจะไปได้อย่างไร ไม่ต้องมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะอภิปรายก็แพ้ ตนผมก็บอกแล้วว่าวันที่ 31 ม.ค.69 ยุบสภา แต่ท่านรอถึงวันที่ 31 ม.ค.69 ไม่ไหวก็ไม่มีปัญหา ท่านจะให้ผมยุบสภาวันที่ 12 ธ.ค.68 วันเปิดสภา ผมก็พร้อมยุบ แต่จะมีอะไรที่มันทำแล้วไม่เสร็จหลายอย่างท่านก็ต้องไปเบลม (โทษคนนั้น) จะมาโทษผมไม่ได้ เพราะผมไม่ยอม ถ้าบอกว่าให้อภิปรายแล้วให้โหวต ต่อให้โหวตอภิปรายห่วยขนาดไหนก็แพ้ และต่อให้อภิปรายดีขนาดไหนหรือตอบโต้ชี้แจงดีขนาดไหนก็แพ้ เพราะรัฐบาลเสียงข้างน้อยมันไม่ใช่วินวิน แต่ทุกวันนี้ ผมไม่ได้ให้มันเกิดวินวินกับการเมือง แต่ผมให้เกิดวินวินกับประชาชนอย่างน้อย 3 – 4 เดือน และ 2 – 3 เดือน ประชาชนวิน ประเทศไทยวิน ผมแฮปปี้แล้ว ผมไม่มีปัญหา
เพราะผมเชื่อว่าผมก็มีพรรคของผม มีนโยบายดีที่ไปว่ากันตอนสนามเลือกตั้ง ท่านใกล้ชิดกับการเมือง ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ ปีหน้าเป็นปีที่จะสำคัญ ตัดสินใจถูก ประเทศไทยก็จะเขย่งก้าวกระโดด ไม่ใช่เพียงแต่ไปต่อเท่านั้น แต่ไปต่อด้วยสปีดที่เร็วและแรง เพราะเรากลับเข้าสู่จอเรดาร์ ทุกประเทศให้ความสำคัญให้ความสนใจ” นายกฯ กล่าวและว่า เชื่อว่าสิ่งที่เราได้ทำไว้ เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเราเอง เราทำรากฐานทำให้มันไกล นักการเมืองปากดี ปากเสียอย่างไรก็ตาม อยู่พรรคไหนก็ตาม แต่ผมเชื่อว่า ส่วนลึกๆ ของพวกเขาทุกคน ต้องการสร้างความเจริญให้กับประเทศ คือสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องเคารพซึ่งกันและกัน คิดว่า คำว่าปรับเปลี่ยนและไปต่อ เป็นสัจธรรมที่ต้องเกิดขึ้นทุกวันกับคนทุกคน โดยเฉพาะกับคนที่ต้องมีหน้าที่บริหารบ้านเมือง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง

