เปิด 30 ปรากฎการณ์สะท้านโลก เมื่อ “องค์พระประมุขไทย” เสด็จฯเยือนจีน ครั้งประวัติศาสตร์ – Top News รายงาน

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ โดยระบุว่า… ในหลวง เสด็จเยือนครั้งเดียว กับ 30 สถานการณ์สะท้านโลก
(ถ้าไม่ได้อ่านแล้วจะเสียใจ ที่ อดภาคภูมิใจไปพร้อมกัน )
#อัษฎางค์ยมนาค | #อ่านเกมอำนาจ |#เสด็จเยือนจีน
1. อเมริกา-มาเลเซียเชิญ ไทย-เขมรไปเซ็นสัญญาสันติภาพ
2. หลังจากแยกย้าย เขมรกลับเข้ามาวางทุ่นระเบิด
3. ทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาด
4. นายกฯไทยประกาศฉีกสัญญาสันติภาพ เพราะเขมรเป็นฝ่ายละเมิด(ครั้งแล้วครั้งเล่า)
5. ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศให้กลับไปใช้กำแพงภาษีเพื่อข่มขู่ให้ไทยกลับไปทำตามสัญญาสันติภาพ โดยไม่สนใจว่าเขมรละเมิดสัญญาและทหารไทยเป็นฝ่ายบาดเจ็บ
6. รัฐบาลไทยแถลง ผิดหวังกับท่าทีของสหรัฐฯ แต่ไม่ยอมอ่อนข้อทำตามคำขู่ที่ไม่เป็นธรรม
7. แรงกดดันจากสหรัฐฯ ”ดีลสันติภาพไทย–กัมพูชา“ ทำให้ไทยรู้ว่าสหรัฐฯ เป็นเพื่อนที่ “คาดเดายาก ”
8. ในขณะเดียวกันนั้นในหลวงและพระราชินีอยู่ในช่วงเสด็จเยือนจีน ซึ่งจีนใช้โอกาสนี้แสดงตัวว่าเป็น “มากกว่ามหามิตร” ด้วยการประกาศว่า ”ไทย-จีน คือคนในครอบเดียวกัน“
9. ส่วนไทยกำลัง “ขยับน้ำหนัก” ในดุลมหาอำนาจ ให้กับจีน
เพื่อรักษาสมดุลระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
จีนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ส่วนไทยเป็นประชาธิปไตย ดังนั้นคนจะมองว่าไทยอยู่ข้างสหรัฐอเมริกามากกว่า
10. ภาพการเสด็จพระราชดำเนินเยือนจีนและภาพการต้อนรับที่ยิ่งใหญ่คือ ภาษาทางการทูตระดับสูงสุด
จีนกำลังส่งสารว่า…..จีนคือมหาอำนาจที่ “องค์พระประมุขของไทย ซึ่งมีสถานะสูงสุด” ไว้วางใจจีน
11. การเสด็จฯ ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์
แต่คือ ”เครื่องมือจัดวางตำแหน่งของไทยในเกมมหาอำนาจโลก“ ด้วย กลยุทธ์การเดินเกม “สมดุลเชิงลึก” (Deep Balancing) คือ ไทยไม่ได้เลือกข้าง แต่ใช้โอกาสนี้ในการ “เพิ่มน้ำหนักจีนในสมดุลสองขั้ว” โดยใช้สถาบันฯ เป็นเครื่องมือทางการทูต ช่วยให้ไทยปรับดุลระหว่างสองขั้วโดยไม่ถูกตีตราว่าเลือกข้าง
11. ไทยเปิดพื้นที่ให้จีนมากขึ้น เพื่อตอบโต้แรงกดดันจากสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง”ดีลสันติภาพไทย–กัมพูชา หรือกำแพงภาษี จีนก็ใช้โอกาสนี้สร้างความชอบธรรมให้ตนเองในภูมิภาค ไปด้วยในตัว
12. กลุ่มคนที่บอกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์คือตัวถ่วงของการพัฒนาการชาติ แต่เขาเหล่านั้นไม่รู้ความจริงที่ว่า ในสายตาชาวโลก โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจมองว่า “ไม่มีองค์กรใดของไทยที่มี “ทุนทางสัญลักษณ์” (symbolic capital) สูงไปกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์”
13. ถ้าเราพูดถึงคำว่า ทุน คนส่วนใหญ่จะคิดถึงเงิน ทรัพยากร หรือขนาดเศรษฐกิจ แต่ในวิชารัฐศาสตร์และสังคมวิทยาการเมือง มีอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก เรียกว่า “ทุนทางสัญลักษณ์”
สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยมีสถานะพิเศษมากในสายตาของต่างประเทศ เพราะสะสมทุนสัญลักษณ์มานานหลายศตวรรษ ทั้งความต่อเนื่องของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความศรัทธาของประชาชน และบทบาทในพัฒนาประเทศ
สิ่งนี้เรียกว่า “ทุนทางสัญญลักษณ์” ซึ่งเป็น“ทุนที่จับต้องไม่ได้ แต่ทรงพลังในทางการเมืองอย่างสูง จนกลายเป็น ทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้แต่สามารถแปลงเป็นอิทธิพลทางการเมืองหรือสังคมได้
14. จะสังเกตได้ว่า เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงเสด็จไปประเทศใด ประเทศไทยจะ “ดูใหญ่ขึ้น” กว่าขนาดเศรษฐกิจจริง
นี่คือพลังของ “ทุนทางสัญญลักษณ์” ที่ไม่มีองค์กรใดในไทยเทียบได้ สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย มันทำให้ไทย “ดูใหญ่กว่าขนาดเศรษฐกิจจริงหลายเท่า”
กล่าวง่าย ๆ คือ “ไทยอาจเป็นประเทศขนาดกลาง แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ทำให้ภาพลักษณ์ของไทย “ถูกขยายใหญ่ขึ้น” บนเวทีโลก”


