อลงกรณ์ ชี้ ไทยต้องเร่งเปลี่ยน แก่ก่อนรวย สู่ สินทรัพย์ใหม่ เปิดยุคเศรษฐกิจสูงวัย (Silver Economy)

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. อดีตประธานกิตติมศักดิ์ที่ประชุมการตั้งถิ่นฐานมนุษย์ของสหประชาชาติ (UN-GFHS)และอดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเขียนบทความเชิงวิเคราะห์ปัญหาสังคมสูงวัยในเฟสบุ้ควันนี้เรื่อง“จาก’แก่ก่อนรวย’สู่สินทรัพย์ใหม่
: โอกาสไทยภายใต้เศรษฐกิจสูงวัย(Silver Economy)”โดยวิเคราะห์ปัญหาและโอกาสของไทยในยุคสังคมสูงวัยสมบูรณ์พร้อมเสนอแนวทางสินทรัพย์ใหม่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจสีเงินหรือเศรษฐกิจสูงวัยไว้อย่างน่าสนใจโดยมีข้อความในบทความเชิงวิเคราะห์ดังนี้

“จาก‘แก่ก่อนรวย‘สู่สินทรัพย์ใหม่
: โอกาสไทยภายใต้เศรษฐกิจสูงวัย(Silver Economy)”
โดย นายอลงกรณ์ พลบุตร
ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. อดีตประธานกิตติมศักดิ์ที่ประชุมการตั้งถิ่นฐานมนุษย์ของสหประชาชาติ (UN-GFHS)และอดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ

“เศรษฐกิจสูงวัยไม่ใช่แค่เรื่องของ “วัยเกษียณ” แต่คือโอกาสในการสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่(Silver Economy)ที่ให้คุณค่ากับ “ประสบการณ์” และ “ปัญญา”
อลงกรณ์ พลบุตร

ทั่วโลกกำลังตื่นตัวกับปรากฏการณ์ เศรษฐกิจสูงวัย(Silver Economy)ที่ไม่ได้หมายถึงเพียงตลาดสินค้าบริการสำหรับผู้สูงอายุ แต่คือการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจโลกที่มอง “วัย”เป็นทรัพยากรที่มีค่า
ในอดีต “วัยเกษียณ” ถูกมองเป็นภาระแต่วันนี้โลกพิสูจน์แล้วว่า “ประสบการณ์และปัญญา”ของผู้สูงวัยคือหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดภายใต้เศรษฐกิจยุคใหม่
การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ได้นำเราเข้าสู่ “ศตวรรษแห่งผู้สูงอายุ” อย่างเต็มตัว
ความท้าทายที่เคยเป็นเรื่องของการดูแลและสวัสดิการ กำลังถูกแปลงโฉมเป็น “โอกาสทางเศรษฐกิจสูงวัย” (Silver Economy) ซึ่งมีมูลค่าสูงถึงกว่า 5.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2023 และคาดการณ์ว่าจะพุ่งทะยานสู่ 8.5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2032 ด้วยแรงขับเคลื่อนจากประชากรสูงอายุที่คาดว่าจะแตะ 2.1 พันล้านคนภายในปี 2050
การใช้ประโยชน์จากศักยภาพของคนสูงวัยจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่การเติบโตของเศรษฐกิจในทศวรรษหน้าโดยหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน(Transformation)ครั้งนี้คือการเปลี่ยน “ประสบการณ์และปัญญา” ของผู้สูงวัยให้เป็น “สินทรัพย์ที่ตีราคาได้จริง”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ตัวอย่างจากหลายประเทศพิสูจน์แล้ว

นานาประเทศได้พัฒนากลไกที่หลากหลายเพื่อดึงดูดและใช้ประโยชน์จากแรงงานสูงวัย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการบูรณาการประสบการณ์และปัญญาเข้ากับระบบเศรษฐกิจ

ญี่ปุ่น
“ธนาคารแรงงานสูงวัย” กว่า 4.2 ล้านคน คือคลังสมองขนาดใหญ่ที่ยังพร้อมสร้างมูลค่า ญี่ปุ่นใช้กฎหมายขยายการจ้างงานไปจนถึงอายุ 70 ปี ส่งผลให้มีผู้ทำงานอายุ 65 ปีขึ้นไปสูงถึง 9.1 ล้านคนในปี 2023 โดยมีอัตราการจ้างงานในกลุ่ม 65-69 ปีสูงกว่า 52%

เยอรมนี
เปิดโอกาสงานพาร์ทไทม์ปลอดภาษีสำหรับวัย 65+ ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจยังต้องการประสบการณ์
เสนอนโยบาย “Aktiverente” ที่ให้รายได้ปลอดภาษีสูงถึง 2,000 ยูโรต่อเดือน

สหรัฐอเมริกา
ใช้โครงการ “Returnship” เพื่อนำมืออาชีพกลับสู่สายงานทักษะสูงอย่าง IT และการเงิน ผ่านการฝึกอบรมเข้มข้น 15-16 สัปดาห์ เป็นการตอกย้ำว่าทักษะที่สั่งสมมายาวนานไม่มีวันล้าสมัย

จีน
ใช้ ระบบเครดิตภาษี เพื่อกระตุ้นให้บริษัทลงทุนในการ ฝึกอบรมพนักงานสูงวัย ควบคู่แรงจูงใจทางภาษี เพื่อเปลี่ยนประสบการณ์ให้เป็นทักษะสมัยใหม่ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เน้นการสร้าง มูลค่าเพิ่ม ให้กับทุนมนุษย์จนทำให้ “ประสบการณ์และปัญญา” กลายเป็นสินทรัพย์มูลค่าสูง

อาเซียน: ตัวอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย
ภูมิภาคอาเซียนกำลังเผชิญกับ “คลื่นสูงวัย” อย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปจะสูงถึง 127 ล้านคนในปี 2035 ซึ่งมีสองประเทศที่แสดงแนวทางที่แตกต่างกันในการจัดการกับความท้าทายนี้

สิงคโปร์
มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปเกือบ 20% ในปี 2024ได้ใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อบังคับใช้การทำงานที่ยาวนานขึ้น
มีการปรับเพิ่มอายุเกษียณ (Retirement Age) และอายุการจ้างงานซ้ำ (Re-employment Age) อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่อายุ 65 ปีและ 70 ปีตามลำดับภายในปี 2035ผลจากนโยบายเชิงรุกนี้ทำให้อัตราการจ้างงานในกลุ่มอายุ 65-69 ปีพุ่งสูงถึงประมาณ 49.1% ในปี 2024 ทำให้สิงคโปร์มีอัตราการมีส่วนร่วมของแรงงานสูงวัยติดอันดับสูงของโลก

มาเลเซีย
ใช้แนวทางแรงจูงใจทางภาษีและการปฏิรูปสวัสดิการกระตุ้นนายจ้าง โดยขยาย แรงจูงใจทางภาษี สำหรับบริษัทที่จ้างงานผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปไปจนถึงปี 2025 นอกจากนี้ รัฐบาลยังเตรียมปฏิรูปกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (EPF) ให้มีระบบการถอนเงินแบบรายเดือนคล้ายบำนาญ เพื่อเสริมความมั่นคงทางรายได้ให้กับผู้สูงอายุ เนื่องจากข้อมูลระบุว่า 42% ของผู้สูงอายุยังคงมีฐานะค่อนข้างยากจน กลยุทธ์จึงมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงทางการเงินควบคู่ไปกับการจูงใจให้เกิดการจ้างงาน

สถานการณ์ไทย: วิกฤตหรือโอกาส?
จาก “ผู้รับสวัสดิการ” สู่ “ผู้สร้างมูลค่า”

ปัจจุบันประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้วโดยประชากรที่อายุ 60 ปีขึ้นไปมีจำนวน 13.5 ล้านคน คิดเป็น 20.2% ของทั้งประเทศและจะเพิ่มเป็น 35% ภายในปี 2583 ทำให้งบประมาณด้านสาธารณสุขและสวัสดิการเพิ่มขึ้นทุกปี
ในขณะที่สัดส่วนการจ้างงานของผู้สูงอายุมีอยู่เพียง 2% ของประชากรทั้งหมด และปัญหาที่พบคือการประกอบอาชีพของผู้สูงอายุ โดยส่วนมากยังอยู่ในภาคใช้แรงกาย แทบจะไม่ได้ใช้ทักษะหรือประสบการณ์ ทำให้ได้รับค่าตอบแทนต่ำ
คำถามสำคัญคือเรายังมอง“ประชากรผู้สูงอายุ”เป็นปัญหาสังคม หรือมองเห็น “ตลาดใหม่” ที่มีมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านบาท?
การเผชิญกับภาวะ “แก่ก่อนรวย” เป็นความท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข ที่ผ่านมาใช้นโยบายหลักโดยการจูงใจนายจ้างผ่านการ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 100% สำหรับค่าจ้างผู้สูงอายุที่ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม แรงงานสูงวัยของไทยยังคงกระจุกตัวในงานทักษะต่ำ โดยกว่า 57.8% อยู่ในภาค เกษตรกรรม และมีค่าตอบแทนต่ำ
ในอีกด้านหนึ่งคิอโอกาสทางเศรษฐกิจสูงวัยของไทยเพราะมีมูลค่าการบริโภคสูงถึง 2.18 ล้านล้านบาทในปี 2566 และคาดว่าจะพุ่งสูงถึง 3.55 ล้านล้านบาทภายในปี 2576 โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยที่มีฐานะมีมูลค่าตลาดกว่า 1.2 ล้านล้านบาท จากจำนวน 6.7 แสนคน
ยิ่งกว่านั้นศักยภาพเศรษฐกิจสูงวัยไทยไม่ได้จำกัดอยู่แค่การจ้างงาน แต่รวมถึงการเกิดตลาดใหม่เช่น
1.นวัตกรรมเทคโนโลยีสำหรับผู้สูงอายุ (Silver Tech)ได้แก่ นวัตกรรมสุขภาพและความงาม ผลิตภัณฑ์และบริการเฉพาะกลุ่ม
2.การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ(Wellness Tourism)สำหรับตลาดผู้สูงวัย
3.ที่อยู่อาศัยและชุมชน(Co-living Space)สำหรับผู้สูงอายุ
สำหรับแนวทางการแปลงประสบการณ์และปัญญาเป็นสินทรัพย์สำหรับไทยมีหลายโมเดลที่ควรพิจารณา:
1. ระบบเครดิประสบการณ์(Experience Credit System)
พัฒนาระบบบันทึกและประเมินมูลค่าทักษะที่สั่งสมมา เป็น “เครดิต” ที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นค่าตอบแทนทางการเงิน หรือโอกาสในการทำงานได้
2.คลังความรู้ผู้เชี่ยวชาญวัยเกษียณ (Silver Knowledge Bank)
สร้างคลังความรู้ผู้เชี่ยวชาญวัยเกษียณในรูปแบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม ที่บริษัทสามารถเข้าถึงได้
3. สิทธิประโยชน์ทางภาษี (Tax Incentive Model)
ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทที่จ้างผู้สูงอายุเป็นที่ปรึกษา
4.สร้างพื้นที่ทำงานร่วมระหว่าง
เยเนอเรชัน (Inter-generational Collaboration)เพื่อถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์

บทสรุป: โจทย์ใหญ่ของไทย: การเปลี่ยนจาก “ภาระ” สู่ “พลังเศรษฐกิจ”

เราต้องถอดบทเรียนจากประเทศผู้นำในการก้าวข้ามจากมาตรการจูงใจทั่วไป ไปสู่การ ลงทุนในการเปลี่ยนผ่านทักษะ (Skill Transformation) ของผู้สูงอายุอย่างจริงจัง
ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันสร้างแพลตฟอร์มการฝึกอบรมเพื่อเปลี่ยน “ประสบการณ์และปัญญา” ที่มีค่าให้เป็น “สินทรัพย์” ที่สามารถสร้าง ผลิตภาพ (Productivity) และ มูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้แก่ประเทศอย่างยั่งยืน
การสนับสนุนให้ผู้สูงอายุยังคงอยู่ในระบบเศรษฐกิจสร้างประโยชน์ในหลายมิติเพราะเมื่อยังทำงานมีรายได้ใช้จ่ายและเสียภาษีเป็นการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจและยังลดภาระการพึ่งพิงเงินภาครัฐและครอบครัวนอกจากนี้การมีผู้ทำงานมากขึ้นช่วยเพิ่มฐานภาษีทำให้รัฐมีงบประมาณเพิ่มขึ้นประการสำคัญคือผู้สูงอายุรู้สึกมีคุณค่าไม่เป็นภาระอีกต่อไป
การเปลี่ยนผู้สูงอายุจาก “ภาระ” สู่ “พลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ“จะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของไทยในการตอบโจทย์”แก่ก่อนรวย“สู่สินทรัพย์ใหม่คือโอกาสไทยภายใต้เศรษฐกิจสูงวัย(Silver Economy)”

(อ้างอิง: Dataintelo, UN, nippon.com, IamExpat.de, JPMorgan Chase, MOM, ASEAN , DOP 2023, TDRI, Deloitte, Royal Decree No. 639 B.E. 2560 ,nippon.com, Bernama)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“อธิบดีกรมอุทยานฯ” นำทีมถกด่วน! พิจารณาความเหมาะสม “ถอดนกปรอดหัวโขน” จากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง ครั้งที่ 2/2568
ภูเก็ตพร้อมจัดประชุม InterPride 2026 ครั้งแรกในเอเชีย
EZY Airlines เปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์ สุราษฎร์–หาดใหญ่
วัดนางพระยา ตำนานรักคู่ศรัทธาแห่งเมืองนครฯ
นายกแจ็ส ให้รางวัลตร.หนองเสือจับ 2 โจรลักเครื่องสูบน้ำทำประชาชนลำบากลั่น ต้องขยายผลจับคนที่รับซื้อผู้ร่วมขบวน
ภูเก็ตรุก “คนละครึ่งพลัส” เดินหน้า 120 วัน Nonstop

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​