วันที่ 9 ต.ค. 68 เวลาประมาณ 13.30 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยทีมอธิบดีที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามและรวบรวมข้อมูล กรณีมีข้อร้องเรียนเรื่องการตรวจพบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่เกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้าน และส่งผลกระทบต่อพื้นที่ จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่
นายรัฐพล นราดิศร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงราย แบ่งลุ่มน้ำหลักเป็น 2 ลุ่มนํ้าใหญ่ ๆ มีลุ่มน้ำกกกก และลุ่มน้ำโขง (เหนือ) ซึ่งแต่ละลุ่มน้ำมีลุ่มน้ำย่อยสำคัญหลายสายซึ่งจะไหลลงแม่น้ำโขง สำหรับแม่น้ำกกที่เป็นปัจจัยต่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคของราษฎร มีต้นกำเนิดมาจากภูเขาทางเหนือในรัฐเชียงตุง สหภาพเมียนมาร์ ไหลเข้าสู่เขตประเทศไทยที่ช่องน้ำแม่กก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ แล้วไหลไปทางทิศตะวันออกผ่าน อ.แม่อาย เข้าสู่เขต อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ผ่านตัวเมืองเชียงราย อ.เวียงชัย อ.เวียงเชียงรุ้ง อ.ดอยหลวง อ.แม่จัน จากนั้นไหลไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่ อ.เชียงแสน แล้วไหลไปลงสู่แม่น้ำโขงที่บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ความยาวของแม่น้ำกกรวมทั้งหมด 285 กิโลเมตร ช่วงแรกประมาณ 128 กิโลเมตร อยู่ในเขตสหภาพเมียนมาร์ ส่วนที่อยู่ในประเทศไทยยาวประมาณ 157 กิโลเมตร การพบปัญหาการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกกตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดความกังกลต่อประชาชนตลอดถึงการท่องเที่ยว เศรษฐกิจของจังหวัดเชียงรายเป็นอย่างยิ่ง การเดินทางมาตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาแม่น้ำกกในพื้นที่ จ.เชียงราย ของรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ทส. และคณะ ในครั้งนี้ จะทำให้จังหวุดเชียงรายได้ทราบถึงนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาแม่น้ำกก และช่วยเและช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ จ.เชียงราย ให้คลายความกังวลลงไปได้
ด้านนายอาทิตย์ บุญรอด รักษาราชการแทนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย (ทสจ.) เผยว่า ข้อเสนอแนะของจังหวัดเชียงรายในการแก้ไขปัญหาสารพิษตกค้างในแม่น้ำกกประกอบด้วย 1.ผลักดันให้ปัญหาการปนเปื้อนของโลหะหนักในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง จังหวัดเชียงราย เป็นวาระเร่งด่วนระดับชาติ โดยเร่งเจรจาระดับทวิภาคี เพื่อหามาตรการควบคุมการทำเหมืองแร่ มาตรการบำบัดของเสียจากการทำเหมืองแร่ก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ และการจัดทำบันทึกข้อตกลงระหว่างประเทศ 2.การจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมในการเฝ้าระวัง และแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนตามการกิจของหน่วยงานในระดับพื้นพื้นที่ ซึ่งมีส่วนราชการที่ดำเนินการอยู่ภายใต้กระทรวงที่เที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เช่น เกษตรจังหวัด ประมงจังหวัด /สถานีพัฒนาที่ดิน กระทรวงสาธารณสุข เช่น ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ /สาธาธารณสุขจังหวัด กระทรวงมหาดไทย เช่น ประปา อบจ. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น คพ./สนง.ทสจ.ชร และ 3.สนับสนุนให้จัดตั้งห้องปฏิบัติการกลางประจำจังหวัด ที่มีมาตรฐานในการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำ ดิน ผลผลิตการเกษตร และสัตว์น้ำ เพื่อเฝ้าระวังในระยะยาว
นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ทส. กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบประชาชนในพื้นที่ซึ่งมีความวิตกกังวลอย่างยิ่งต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ทั้งในด้านการปนเปื้อนในสัตว์น้ำ ผลผลิตทางการเกษตร เช่น พืชผักและข้าว รวมถึงผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิดจากการสะสมของสารพิษในระยะยาว สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหา ได้เน้นย้ำถึงการบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ตามที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี การตรวจสอบคุณภาพน้ำและดิน มอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการตรวจวัดคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีการร้องขอจากประชาชนให้มีศูนย์ตรวจตัวอย่างน้ำ ก็จะจัดส่งข้าราชการเข้ามาเสริมกำลังในพื้นที่ ส่วนเรื่องงบประมาณยังขาดแคลน แต่เมื่อกลับไป จะพิจารณาการจัดสรรงบประมาณสำหรับจัดตั้งห้องปฏิบัติการ (ห้องแล็บ) เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ในส่วนของการปนเปื้อนในดินและตะกอน ได้มอบหมายประสานให้กรมพัฒนาที่ดินและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้ามาตรวจสอบอย่างละเอียด การจัดหาแหล่งน้ำสำรอง ในกรณีที่พบการปนเปื้อนในแหล่งน้ำดิบที่ใช้ผลิตน้ำประปา ได้สั่งการให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาลเตรียมพร้อมสำรวจและจัดหาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำสำรอง การตรวจสอบผลกระทบด้านอื่นๆ เช่น กรมประมงจะเข้ามาดูแลและตรวจสอบผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสัตว์น้ำ และประสานงานกับหน่วยงานสาธารณสุขเพื่อเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน การบริหารจัดการในพื้นที่ในระดับจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดจะเป็นผู้บริหารจัดการในภาพรวมทั้งหมด เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประเด็นด้านการต่างประเทศ: เนื่องจากปัญหามีความเกี่ยวข้องกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงต้องมีการประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เพื่อรับทราบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
นอกจากนี้ ในประเด็นที่ภาคประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ได้ท้วงติงเรื่องการสร้างฝายดักตะกอน นายสุชาติกล่าวว่า “การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อหารือภาพรวมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่ประชาชนท้วงติง เราจะนำไปทำประชาพิจารณ์ก่อน โครงการไหนที่ประชาชนไม่เห็นด้วย เราจะไม่ทำ แต่หากเป็นความต้องการของประชาชน เราก็จะหารือร่วมกับทุกหน่วยงานเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป”
สำหรับแนวทางการเยียวยาผลกระทบ กรณีที่ประชาชนไม่สามารถใช้น้ำในการอุปโภคบริโภค และพืชผลทางการเกษตรอาจจำหน่ายไม่ได้ รัฐมนตรีฯ กล่าวว่า ต้องสะท้อนปัญหาทั้งหมดให้นายกรัฐมนตรีรับทราบถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งด้านการเกษตร การท่องเที่ยว และความเป็นอยู่ของประชาชน โดยได้ฝากให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการประเมินความเสียหาย หากเข้าเกณฑ์ ก็สามารถประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ เพื่อให้ความช่วยเหลือตามระเบียบงบประมาณได้