เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2568 นางรักษ์ดาว พริทชาร์ด ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง เปิดเผยว่า เครือข่ายฯ ได้ทำหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย / ร.อ.ธรรมนัส พรมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ / นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อขอให้แก้ปัญหาเร่งด่วนกรณีมลพิษข้ามพรมแดนจากการทำเหมืองนอกกฎหมายในลุ่มน้ำโขงตอนบน โดยเฉพาะการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ทและเหมืองทองบริเวณต้นแม่น้ำกกและต้นแม่น้ำสาย
นางรักษ์ดาว กล่าวว่า ประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย รวมทั้งพื้นที่ท้ายน้ำได้รับผลกระทบด้านมลพิษจากการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำเนื่องจากการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน และในลำน้ำสาขาของแม่น้ำโขงตอนบน เช่น แม่น้ำกก สาย รวก โดยรัฐบาลต้องเร่งหาช่องทางในการปิดเหมืองแร่ในเมียนมา ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ เพื่อยุติแหล่งกำเนิดมลพิษในแม่น้ำ และเร่งฟื้นฟูระบบนิเวศลุ่มน้ำคืองานที่ต้องทำต่อเนื่อง โดยในระยะเวลา 4 เดือนที่รัฐบาลทำหน้าที่บริหารประเทศ เครือข่ายมีข้อเรียกร้องเร่งด่วน ดังนี้
1.จัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ทดแทนแม่น้ำกก สาย รวก โขง เพื่อการผลิตน้ำประปาภูมิภาค ในเขต อ.เมืองเชียงราย อ.เวียงชัย อ.แม่สาย อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ เนื่องจากผลการตรวจน้ำประปาจากห้องแล็บพบว่ามีสารหนูและแบเรียมในน้ำประปา ถึงแม้จะยังไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่ประชาชนต้องรับความเสี่ยงมีสารโลหะหนักสะสมในร่างกายทีละเล็กทีละน้อยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการประปาส่วนภูมิภาคกำลังแบกรับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และใช้สารเคมีจำนวนมากขึ้นในกระบวนการผลิตน้ำประปา การจัดหาแหล่งน้ำใหม่จึงเป็นทางออกที่ยั่งยืนกว่า
2.จัดหาแหล่งน้ำใหม่สำหรับการผลิตน้ำประปาหมู่บ้านให้กับชาวบ้านใน ต.แม่นาวาง และต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เนื่องจากประชาชนไม่สามารถใช้น้ำกกในการผลิตน้ำประปาหมู่บ้านได้ และปรับปรุงระบบประปาหมู่บ้านตลอดลำน้ำกก สาย รวก และโขง อย่างน้อย 30 หมู่บ้าน ในเขต อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ อ.เมืองเชียงราย อ.เวียงชัย อ.เวียงเชียงรุ้ง อ.แม่จัน อ.ดอยหลวง อ.แม่สาย อ.เชียงแสน อ.เชียงของ และ อ.เวียงแก่น เพื่อให้ระบบผลิตน้ำประปาหมู่บ้านมีขีดความสามารถกำจัดสารโลหะหนักในกระบวนการผลิตน้ำประปาที่ใช้น้ำใต้ดินใกล้กับแหล่งน้ำกก สาย รวก โขง ที่ปนเปื้อนสารโลหะหนัก
3.ตรวจสอบคุณภาพดินเพื่อหาสารโลหะหนักในที่ราบลุ่มน้ำกกเนื้อที่ 12,000 ไร่ ใน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ดินตะกอนแม่น้ำกกที่รับมาโดยตรงจากเหมืองในเมียนมา จากเหตุน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2567 โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สำคัญ และรัฐบาลควรวางแผนตรวจสารโลหะหนักในผลผลิตข้าวนาปี จากพื้นที่กว่า 100,000 ไร่ ในเขตชลประทานแม่น้ำกก แม่น้ำสาย-รวก ก่อนการเก็บเกี่ยวในช่วงปลายเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน
“การตรวจข้าวก่อนเก็บเกี่ยวเป็นประโยชน์ต่อทั้งอุตสาหกรรมข้าวและผู้บริโภค หากตรวจพบสารโลหะหนักในผลผลิตข้าว รัฐจำเป็นต้องมีมาตรการการจัดการทำลายผลผลิต พร้อมทั้งชดเชยรายได้ให้กับเกษตรกรที่ได้ลงทุนไปและรายได้ที่สูญเสีย ในขณะเดียวกันหากผลการตรวจไม่พบสารโลหะหนัก รัฐต้องออกเอกสารรับรองผลผลิตข้าวให้กับเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรสามารถขายผลผลิตได้และเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค” นางรักษ์ดาว กล่าว
4.จัดตั้งศูนย์ตรวจสารโลหะหนักประจำจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ เพื่อทำหน้าที่เฝ้าระวังตรวจสารโลหะหนักในน้ำ ตะกอนดิน ดินเพาะปลูก ผลผลิตการเกษตร ปลา สัตว์น้ำ และมนุษย์ ในลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง เนื่องจากปัจจุบันการเข้าถึงการตรวจเป็นไปอย่างยากลำบาก มีค่าใช้จ่ายสูง และใช้ระยะเวลาในการตรวจยาวนาน เนื่องจากตัวอย่างทั้งหมดต้องส่งตรวจที่กรุงเทพ แม้จะมีศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 ที่ จ.เชียงราย ของกระทรวงสาธารณสุข แต่ก็มีทรัพยากรไม่เพียงพอ ส่งผลให้ประชาชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ขาดข้อมูล ที่เป็นปัจจุบัน
5.ยุติการนำเข้าแร่ทุกชนิดจากเมียนมา จนกว่าผู้นำเข้าจะพิสูจน์ได้ว่าแร่ที่นำเข้าจากเมียมา มิได้มาจากเหมืองแร่ที่ก่อให้เกิดมลพิษในแม่น้ำ กก สาย รวก โขง
6.ยกเลิกโครงการฝายดักตะกอนหรือม่านดักตะกอนเนื่องจากมิได้มีการศึกษาว่าสามารถแก้ไขปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำได้จริง และยังจะสร้างปัญหาผลกระทบต่อที่ดินทำกินของชาวบ้าน ผลกระทบด้านนิเวศและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้กรมทรัพยากรน้ำก็ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่แก้ไขปัญหามลพิษแต่อย่างใด
7.จัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างรัฐ นักวิชาการ และภาคประชาชน เพื่อทำหน้าที่ [1] แสวงหาแนวทางปิดเหมืองในเมียนมา [2] สร้างมาตรการเฝ้าระวังสารโลหะหนักปนเปื้อนในน้ำอุปโภค บริโภค ดิน สินค้าเกษตร สัตว์น้ำ และร่างกายมนุษย์ [3] เยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเหมืองแร่ในเมียนมา [4] กำหนดแนวทางการฟื้นฟูแม่น้ำกก สาย รวก โขง